E-Books

ค้นหา

สถิติผู้เข้าชมเว็บไซต์

เนื้อหาที่เปิดอ่าน
5680783

whosonline

มี 35 ผู้มาเยือน และ ไม่มีสมาชิกออนไลน์ ออนไลน์

วิชา เบญจศีล-เบญจธรรม

ธรรมศึกษา ชั้นตรี

คำปรารภ

              มนุษย์ผู้เกิดมาในโลก    มีรูปพรรณสัณฐานที่เลือกตามใจหวังไม่ได้ แล้วแต่เหตุจะแต่งมาให้เป็นผู้มีรูปร่างงามบ้างเลวทรามบ้างต่าง ๆ กัน ผู้ใดมีรูปงามก็เป็นที่นิยมชมชอบของผู้ที่ได้เห็น เป็นดุจ ดอกไม้ที่มีสีสัณฐานงาม   ผู้ใดมีรูปเลวทรามก็ไม่เป็นที่ชวนดูของผู้แลเห็น    เช่นกับดอกไม้มีสีสัณฐานไม่งาม  รูปงามมีประโยชน์เพียงให้เขาชมว่าสวยไม่เป็นคุณอะไรอีก ถ้าดอกไม้มีทั้งสีสัณฐาน ก็งามทั้งกลิ่น ก็หอมย่อมเป็นที่พอใจรักใคร่ของประชุมชน ถ้ามีแต่สีและสัณฐานงาม แต่หากลิ่นหอมมิได้ จะสู้ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม แม้มีสัณฐานไม่งามก็ไม่ได้  ถ้ามีกลิ่นเหม็นก็ยิ่งซ้ำร้าย ถึงจะมีสัณฐานงาม     ก็ไม่เป็นที่ ปรารถนาของใคร ๆ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด    คนผู้มีรูปร่างงดงามมีใจดี ย่อมเป็นที่นิยมนับถือของประชุม ชนถึงจะมีรูปร่างงาม  แต่ปราศจากคุณธรรมในใจจะสู้คนที่ประกอบด้วยคุณธรรม   แม้มีรูปร่างเลว ทราม  ก็ไม่ได้ถ้ามีใจร้ายกาจ ก็ยิ่งซ้ำร้าย   ไม่มีใครพอใจจะสมาคมถึงจะมีรูปร่างงามสักปานใด  ก็ช่วยแก้ไขไม่ได้  ข้อนี้มีอุปไมยฉันนั้น   

              รูปพรรณสัณฐานของมนุษย์เป็นมาอย่างใดก็ต้องเป็นไปอย่างนั้นจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้   ส่วนใจนั้นก็มักเป็นไปตามพื้นเดิม  ถึงอย่างนั้นก็ยังมีทางแก้ไขให้ดีได้ด้วยความตั้งใจอันดี   จงดูตัวอย่างของที่ไม่หอมมาแต่เดิมเขายังอบให้หอมได้ แต่ธรรมดาใจนั้นมักผันแปรไม่แน่ไม่นอนมั่นคงลงได้ นักปราชญ์มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น  ผู้สั่งสอนให้คนตั้งอยู่ในคุณธรรม จึงได้กำหนดวางแบบแผนแห่ง ความ ประพฤติไว้เป็นหลักฐาน

              การตั้งใจประพฤติตามบัญญัตินั้น ชื่อว่า ศีล  ๆ  นั้นเป็นบรรทัดสำหรับให้คน ประพฤติ ความดีให้คงที่  เปรียบเหมือนผู้แรกจะเขียนหนังสือต้องอาศัยเส้นบรรทัดเป็นหลักเขียนไปตามนั้น   หนังสือที่เขียนจึงจะมีบรรทัดอันตรง    ถ้าหาไม่ตัวก็จะคดขึ้นคดลงดังงูเลื้อย  เมื่อชำนาญแล้วก็เขียน ไปได้  ไม่ต้องมีบรรทัดฉันใด   คนแรกจะประพฤติความดี   ไม่ได้ถืออะไรเป็นหลักใจไม่มั่นคง อาจเอนเอียงลงหาทุจริตแม้เพราะโมหะครอบงำ  เมื่อบำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์จนเป็นปกติ มารยาทได้แล้ว     จึงจะประพฤติคุณธรรมอย่างอื่น  ก็มักยั่งยืนไม่ผันแปร   ข้อนี้แลเป็นประโยชน์แห่งการบัญญัติศีลขึ้น

              ความเบียดเบียนกันในโลก  ซึ่งเป็นไปโดยกายทวารย่นลงเป็น ๓ ประการ คือ  เบียดเบียนชีวิตร่างกายประการหนึ่ง  เบียดเบียนทรัพย์สมบัติ ประการหนึ่ง เบียดเบียนประเวณี คือทำเชื้อสายของผู้อื่นให้ผิดลำดับสับสนประการหนึ่งและความประพฤติเสียด้วยวาจา  มีมุสาวาทกล่าว คำเท็จเป็นที่ตั้งคนจะประพฤติดังนั้นก็เพราะความประมาท และความประมาทนั้น ไม่มีมูลอื่นจะสำคัญ ยิ่งกว่าดื่มน้ำเมา  ซึ่งทำให้ความคิดวิปริตลงทันที  เหตุนั้นนักปราชญ์ทั้งหลาย  มีพระพุทธเจ้าเป็น ประธานเล็งเห็นเหตุการณ์ดังนี้  จึงปัญญัติศีลมีองค์ ๕  คือ

            ๑.  เว้นจากการฆ่าสัตว์มีชีวิต

            ๒.  เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วยอาการเป็นลักขโมย

            ๓.  เว้นจากการประพฤติผิดในกาม

            ๔.  เว้นจากกล่าวคำเท็จ

            ๕.  เว้นจากการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย

              องค์แห่งศีลอย่างหนึ่ง ๆ เรียกว่า สิกขาบท  ศีลมีองค์ ๕ จึงเป็นสิกขาบท ๕ ประการ  รวมเรียกว่าเบญจศีล ๆ นี้ท่านบัญญัติขึ้นโดยถูกต้องตามคลองธรรม ด้วยคิดจะให้เป็นประโยชน์แก่กันและกันจึงได้ชื่อว่าเป็นบัญญัติอันชอบธรรม เป็นคำสอนมีอยู่ในศาสนาที่ดี

              เบญจศีลนี้มีกัลยาณธรรมเป็นคู่กัน แสดงไว้ในพระบาลีที่สรรเสริญความประพฤติของกัลยาณชนว่า เป็นคนมีศีลมีกัลยาณธรรม  ดังนี้  กัลยาณธรรมในที่นี้  ได้แก่ความประพฤติที่เป็นส่วนดีงาม   มีเครื่องอุดหนุนศีลให้ผ่องใสยิ่งขึ้น  ได้ในสิกขาบททั้ง ๕ นี้เอง

            ๑. เมตตากรุณา  ได้ในสิกขาบทที่ ๑

            ๒. สัมมาอาชีวะ  หมั่นประกอบการเลี้ยงชีพในทางที่ชอบ ได้ในสิกขาบทที่ ๒

            ๓. ความสำรวมในกาม ได้ในสิกขาบทที่ ๓

            ๔. มีความสัตย์ ได้ในสิกขาบทที่ ๔

            ๕. ความมีสติรอบคอบ ได้ในสิกขาบทคำรบ ๕

       เมื่อจัดวิภาค  ศีลได้แก่กิริยาที่เว้นตามข้อห้าม  กัลยาณธรรม  ได้แก่ประพฤติธรรมที่ชอบ มีเป็นคู่กันมาฉะนี้

       ในที่นี้จะยกคุณ ๒ ข้อนี้ตั้งเป็นกระทู้ และพรรณนาความไปตามลำดับดังต่อไปนี้

 

เบญจศีล

              ในสิกขาบทที่ ๑ แก้ด้วยข้อห้าม ๓ ประการ  คือการฆ่า ๑ การทำร้ายร่างกาย ๑ การ ทรกรรมสัตว์ให้ลำบาก ๑ เพื่อสมแก่เหตุแห่งบัญญัติสิกขาบทนี้ขึ้น  ด้วยเพ่งเมตตาจิตเป็นใหญ่

              ในสิกขาบทที่  ๒ แก้ด้วยข้อห้าม ๓ ประการ คือ โจรกรรมประพฤติเป็นโจร ๑ ความเลี้ยงชีพอนุโลมโจรกรรม  อันเป็นอุบายอุดหนุนโจรกรรม ๑ กิริยาเป็นฉายาโจรกรรม ประพฤติ เคลือบแฝง  เป็นอาการแห่งโจร ๑ เพื่อสมแก่เหตุแห่งบัญญัติสิกขาบทนี้ขึ้น  ด้วยเพ่งความประพฤติ ชอบธรรมในทรัพย์สมบัติของผู้อื่นเป็นใหญ่

              ในสิกขาบทที่ ๓ แก้ด้วยข้อห้ามไม่ให้ประพฤติผิดในกามทั้งฝ่ายชายฝ่ายหญิงและประพฤติ ผิดธรรมดา เพื่อสมแก่เหตุแห่งบัญญัติสิกขาบทนี้ขึ้น  ด้วยเพ่งความประพฤติไม่ผิดประเวณีเป็นใหญ่

              ในสิกขาบทที่ ๔ แก้ด้วยข้อห้าม ๓ ประการ  คือ  มุสา กล่าวคำเท็จ ๑ อนุโลมมุสา กล่าววาจาที่เป็นตามมุสา ๑ ปฏิสสวะ  รับแล้วไม่ทำตามรับ ๑ เพื่อสมแก่เหตุแห่งบัญญัติสิกขาบทนี้ขึ้น ด้วยเพ่งความสัตย์เป็นใหญ่

              ในสิกขาบทคำรบ ๕ แก้ด้วยข้อห้าม ๒ ประการ คือ ดื่มน้ำเมา คือสุรา และเมรัย ๑ เสพฝิ่น กัญชา และของเมาอย่างอื่นอีก ๑ เพื่อสมแก่เหตุแห่ง บัญญัติสิกขาบทนี้ขึ้น ด้วยเพ่งจะไม่ ให้เสียความสำราญและความดี

วิรัติ

              ในบทนี้  แก้ด้วยวิรัติ  คือความละเว้นข้อห้าม ๓ ประการ   คือ สัมปัตตวิรัติ  ความเว้น จากวัตถุที่จะพึงล่วงได้อันมาถึงเฉพาะหน้า ๑ สมาทานวิรัติ ความเว้นด้วยอำนาจการถือ เป็นกิจวัตร ๑ สมุจเฉทวิรัติ  ความเว้นด้วยตัดขาดมีอันไม่ทำอย่างนั้นเป็นปกติ  ๑ ตามภูมิของคนผู้ปฏิบัติ

 

กัลยาณธรรม

              ในสิกขาบทที่ ๑ แก้ด้วยเมตตากับกรุณา  ที่ผู้มีศีลจะพึงแสดงเป็นพิเศษ ในการเผื่อแผ่ให้ ความสุขและช่วยทุกข์ของผู้อื่น

              ในสิกขาบทที่ ๒ แก้ด้วยสัมมาอาชีวะ ความหมั่นประกอบการหาเลี้ยงชีพในทาง ที่ชอบ  อันเป็นเครื่องอุดหนุนผู้มีศีลให้มั่นคงอยู่ในศีล

              ในสิกขาบทที่ ๓  แก้ด้วยความสำรวมในกาม ๒ ประการ  คือ สทารสันโดษ ความยินดีด้วยภรรยาของตน สำหรับชาย ๑ ปติวัตรความจงรักในสามี สำหรับหญิง ๑ อันเป็นข้อปฏิบัติอุกฤษฏ์ยิ่งขึ้นไปกว่าศีล

              ในสิกขาบทที่ ๔ แก้ด้วยความมีสัตย์ ต่างโดยอาการ ๔ สถาน คือ ความเที่ยงธรรมในกิจการอันเป็นหน้าที่ ๑ ความซื่อตรงต่อมิตร  ๑ ความสวามิภักดิ์ในเจ้าของตน ๑ ความกตัญญูในท่านผู้มีบุญคุณแก่ตน ๑ อันอุดหนุนผู้มีศีลให้บริบูรณ์ด้วยคุณสมบัติยิ่งขึ้น

              ในสิกขาบทที่  ๕ แก้ด้วยความมีสติรอบคอบ ต่างโดยอาการ ๔ สถาน  คือความรู้จัก ประมาณในอาหารที่จะพึงบริโภค ๑ ความไม่เลินเล่อในการงาน ๑ ความมีสัมปชัญญะ ในการ ประพฤติตัว  ๑ ความไม่ประมาทในธรรม ๑  อันเป็นคุณพิเศษประดับผู้มีศีลให้มีความ ประพฤติดีงามขึ้น

              ข้อเหล่านี้มีพรรณนาโดยพิสดารไปตามลำดับในบทข้างหน้า

เบญจศีล

ปาณาติปาตา  เวรมณี

สิกขาบทที่ ๑

       สิกขาบทนี้   (ปาณาติปาตา  เวรมณี) แปลว่า  เว้นจากการทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วง คือเว้นจากการฆ่าสัตว์มีชีวิต

       สัตว์  ประสงค์ทั้งมนุษย์และเดียรฉานที่ยังเป็นอยู่ตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนถึงแก่เฒ่า

       สิกขาบทนี้ บัญญัติขึ้นด้วยหวังจะให้ปลูกเมตตาจิตในสัตว์ทุกจำพวก

       เมื่อเพ่งเมตตาจิตเป็นใหญ่ ดังนั้น จึงไม่ใช่เฉพาะการฆ่าให้ตายเท่านั้นแม้การทำร้าย ร่างกาย และการทรกรรม    ก็ถูกห้ามตามสิกขาบทนี้ด้วย

การฆ่า

      การฆ่า  ได้แก่การทำให้ตาย

      โดยวัตถุ คือผู้ถูกฆ่า มี ๒ อย่าง  คือ  ฆ่ามนุษย์ ๑  ฆ่าเดียรฉาน ๑

      โดยเจตนา  คือความตั้งใจของผู้ฆ่า มี ๒ อย่าง คือ จงใจฆ่า ๑ ไม่จงใจฆ่า ๑

      การฆ่า   สำเร็จด้วยประโยค (ความพยายาม) ๒ อย่าง คือ  ฆ่าเอง ๑  ช้ให้ผู้อื่นฆ่า ๑

      การใช้ให้ผู้อื่นฆ่า  ทั้งผู้ใช้  และผู้รับใช้มีโทษ  (ความผิด) ฐานฆ่า ทั้งฝ่ายศาสนา และฝ่ายอาณาจักร

กรรมหนักหรือกรรมเบา

      การฆ่า จัดเป็นกรรมหนัก  หรือเบา  เพราะวัตถุ  เจตนา  และประโยค

      วัตถุ   คือผู้ถูกฆ่า  การฆ่าผู้บริสุทธิ์ไม่มีความผิดและผู้มีคุณต่อตน  เช่นบิดามารดา หรือผู้มีคุณธรรมต่อสังคม  เช่นพระพุทธเจ้า   เป็นต้น    มีโทษมาก

       เจตนา  คือความตั้งใจของผู้ฆ่า  การฆ่าด้วยอำนาจของกิเลส  เช่นมิจฉาทิฏฐิ ไม่เชื่อว่า บาปมีจริง  ฆ่าด้วยอำนาจความโลภ  เช่นรับจ้างฆ่าคน  ฆ่าด้วยอำนาจความพยาบาท    เช่น   โกรธพ่อแม่  แล้วฆ่าเด็กไร้เดียงสา  ฆ่าไม่มีเหตุผล  เช่น  โกรธนักเรียนคนหนึ่ง  ต่อมาพบ นักเรียนโรงเรียนนั้นซึ่งเขาไม่รู้เรื่องอะไร  ก็ฆ่าเขา  เป็นต้น  มีโทษมาก

        ประโยค  คือความพยายามในการฆ่า  การทรมานให้ได้รับความเจ็บปวดมาก ๆ  แล้วจึงฆ่าให้ตาย  ที่เรียกว่า  ฆ่าให้ตายทีละน้อย  มีโทษมาก

การทำร้ายร่างกาย

        การทำร้ายร่างกาย  หมายถึง  การทำร้ายผู้อื่นโดยการทำให้พิการ  เสียโฉม หรือเจ็บลำบาก แต่ไม่ถึงแก่ชีวิต

        ทำให้พิการ  คือ ทำให้เสียอวัยวะเป็นเครื่องใช้การ  เช่นทำให้เสียนัยน์ตา เสียแขน  เสียขาเป็นต้น

        ทำให้เสียโฉม  คือ  ทำร่างกายให้เสียรูป  เสียงาม ไม่ถึงพิการ  เช่นใช้มีดหรือไม้กรีด หรือตีที่ใบหน้าให้เป็นแผลเป็น เป็นต้น

        ทำให้เจ็บลำบาก  คือ ทำร้ายไม่ถึงเสียโฉม  เป็นแต่เสียความสำราญ

         การทำร้ายร่างกายทั้งหมดนี้  เป็นอนุโลมปาณาติบาต  ถูกห้ามด้วยสิกขาบทนี้

ทรกรรม

         ข้อนี้  จะกล่าวเฉพาะเดียรฉาน  เพราะมนุษย์ไม่เป็นวัตถุอันใคร ๆ จะพึงทรกรรมได้ทั่วไป

         รกรรม หมายความว่า ประพฤติเหี้ยมโหดแก่สัตว์  ไม่ปราณี ดังจะชี้ตัวอย่างให้เห็น  ตามที่จัดเป็นแผนกดังนี้

         ใช้การ   หมายถึงใช้สัตว์ไม่มีปราณี ปล่อยให้อดอยากซูบผอม  ไม่ให้กิน  ไม่ให้นอน ไม่ให้หยุดพักผ่อนตามกาล ขณะใช้งานก็เฆี่ยนตี ทำร้ายร่างกายโดยไม่มีเมตตาจิต  หรือใช้การเกิน กำลังของสัตว์  เช่นให้เข็นภาระอันหนักเหลือเกิน  เป็นต้น จัดเป็นทรกรรมในการใช้การ

          กักขัง  หมายถึง  กักขังให้อดอยากอิดโรย  หรือผูกรัดไว้จนไม่สามารถจะผลัดเปลี่ยน อิริยาบถได้ จัดเป็นทรกรรมในการกักขัง

          นำไป  พึงเห็นในการผูกมัด  เป็ด  ไก่  สุกร หิ้วหามเอาศีรษะลง  เอาเท้าขึ้น  ผู้ทำเช่นนี้ จัดเป็นทรกรรมในการนำไป

          เล่นสนุก  พึงเห็นในการทึ้งปีก  ทึ้งขาของสัตว์  มีตั๊กแตน  และจิ้งหรีด เป็นต้น  เพื่อความสนุกของตน

          ผจญสัตว์  พึงเห็นในการชนโค  ชนกระบือ  ชนแพะ  ชนแกะ  ตีไก่กัดปลา  กัดจิ้งหรีด  เป็นต้น

          การทรกรรมสัตว์ทุกอย่าง  จัดเป็นอนุโลมปาณาติบาต  ถูกห้ามด้วยสิกขาบทนี้  เช่นกัน

อทินนาทานา  เวรมณี

สิกขาบทที่ ๒

              สิกขาบทนี้  (อทินนาทานา  เวรมณี)  แปลว่า  เว้นจากถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้

              กิริยาที่ถือเอา  หมายความว่า  ถือเอาด้วยอาการเป็นโจร 

              สิ่งของที่เขาไม่ได้ให้ หมายความว่า สิ่งของที่มีเจ้าของทั้งที่เป็นสวิญญาณกทรัพย์ ทั้งที่เป็น อวิญญาณกทรัพย์อันผู้เป็นเจ้าของไม่ได้ยกให้เป็นสิทธิ์ขาด หรือสิ่งของที่ไม่ใช่ของ   ใคร  (โดยเฉพาะ)    แต่มีผู้รักษาหวงแหน  ได้แก่  สิ่งของที่อุทิศบูชาปูชนียวัตถุในศาสนานั้น ๆ ของกลางในชุมชน  ของสงฆ์และของมหาชนในสโมสรสถานนั้น ๆ

              สิกขาบทนี้ บัญญัติขึ้นด้วยหวังจะให้เลี้ยงชีวิตในทางที่ชอบ    เว้นจากการเบียดกันและกัน     คือไม่เบียดเบียนทรัพย์สินผู้อื่น

              เมื่อเพ่งความประพฤติชอบธรรมในทรัพย์สมบัติของผู้อื่นเป็นใหญ่ดังนั้นจึงไม่ใช่แต่โจรกรรม เท่านั้น  แม้ความเลี้ยงชีพอนุโลมโจรกรรม และกิริยาเป็นฉายาโจรกรรมก็ถูกห้ามตามสิกขาบทนี้ด้วย

โจรกรรม

              โจรกรรม  ได้แก่  กิริยาที่ถือเอาสิ่งของที่ไม่มีผู้ให้  ด้วยอาการเป็นโจร  เช่น ปล้นสะดม    ลักขโมย  ตีชิงวิ่งราว  กรรโชค คือใช้อาชญาข่มขู่   และทุจริตคอรัปชั่น  เป็นต้น

ความเลี้ยงชีพอนุโลมโจรกรรม

              อนุโลมโจรกรรม ได้แก่  กิริยาที่แสวงหาทรัพย์พัสดุในทางไม่บริสุทธิ์อันไม่ถึงเป็นโจรกรรม   ตัวอย่างเช่น

              สมโจร  ได้แก่กิริยาที่อุดหนุนโจรกรรม  เช่นรับซื้อของโจร  เป็นต้น

              ปอกลอก   ได้แก่กิริยาที่คบคนด้วยอาการไม่ซื่อสัตย์   มุ่งหมายจะเอาแต่ทรัพย์สมบัติของ เขาถ่ายเดียว  เมื่อเขาหมดตัวแล้ว  ก็ทิ้งไป

              รับสินบน   ได้แก่กิริยาที่ถือเอาทรัพย์พัสดุที่เขาให้   เพื่อช่วยทำธุระให้แก่เขาในทางที่ผิด     เช่น   เจ้าหน้าที่รับสินบนจากผู้ร้ายแล้วปล่อยให้พ้นความผิด  เป็นต้น

              ทรัพย์พัสดุที่ได้มาด้วยมิจฉาชีพเช่นนี้ก็เป็นดุจเดียวกันกับของที่ได้มาด้วยโจรกรรมไม่ทำ ความสุขให้เกิดแก่ผู้ได้  กลับเป็นปัจจัยแห่งความเสื่อมของผู้นั้น ให้เสียทรัพย์เสียชื่อเสียง เสีย ยศศักดิ์ผู้รักตัวควรเว้นความหาเลี้ยงชีพอนุโลมโจรกรรมนี้เสียแสวงหาทรัพย์พัสดุเลี้ยงตนและคนที่ควร จะเลี้ยงในทางที่ชอบด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง

กิริยาเป็นฉายาโจรกรรม

              ข้อนี้  ได้แก่กิริยาที่ทำทรัพย์พัสดุของผู้อื่นให้สูญเสีย  และเป็นสินใช้ตกอยู่แก่ตน มีประเภทดังนี้

              ผลาญ  ได้แก่   กิริยาทำอันตรายแก่ทรัพย์พัสดุของผู้อื่น  เช่น  เผาบ้านเผารถยนต์     เผาไร่  เผานา  หรือแกล้งตัดเงินเดือนและค่าจ้าง  เป็นต้น

              หยิบฉวย ได้แก่กิริยาที่ถือเอาทรัพย์พัสดุของผู้อื่นด้วยความง่าย เช่นบุตรหลาน ผู้ประพฤติ เป็นพาล  เอาทรัพย์ของมารดา  บิดา ปู่ย่า  ตายายไปใช้เสีย  ญาติมิตร  เอาทรัพย์ของญาติมิตรไปใช้      โดยมิได้บอกให้เจ้าของรู้    เป็นต้น

              ผู้หวังความสวัสดีแก่ตนพึงเว้นกิริยาที่เป็นฉายาโจรกรรมเช่นนั้นเสียนับถือกรรมสิทธิ์ของผู้อื่น  ในความเป็นเจ้าของพัสดุ ให้เหมือนตนประสงค์จะให้ผู้อื่นเขานับถือตนฉะนั้น

กรรมหนักหรือกรรมเบา

              เมื่อกล่าวโดยความเป็นกรรม อทินนาทาน  จัดเป็นโทษหนักเป็นชั้นกันโดยวัตถุ เจตนา และประโยค

              โดยวัตถุนั้น ถ้าของที่ทำโจรกรรมมีราคามากทำฉิบหายให้แก่เจ้าของทรัพย์มาก ก็มีโทษมาก

              โดยเจตนานั้น  ถ้าถือเอาด้วยโลภเจตนากล้า  ก็มีโทษมาก

              โดยประโยคนั้น   ถ้าถือเอาด้วยฆ่าหรือทำร้ายเจ้าของทรัพย์  หรือประทุษร้าย  เคหะสถาน และพัสดุของเขา ก็มีโทษหนัก

 

กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี

สิกขาบทที่ ๓

              สิกขาบทนี้  (กาเมสุมิจฉาจารา  เวรมณี )   แปลว่าเว้นจากประพฤติผิดในกามทั้งหลาย

              คำว่า  กาม  ในที่นี้   ได้แก่   กิริยาที่รักใคร่กันในทางประเวณี

                  ข้อนี้ บัญญัติขึ้นด้วยหวังจะป้องกันความแตกร้าวในหมู่มนุษย์  และทำเขาให้ ไว้วางใจกันและกัน

              เมื่อเพ่งความไม่ประพฤติผิดเป็นใหญ่  จึงได้หญิงเป็นวัตถุที่ห้ามของชาย  ๓ จำพวก คือ ภรรยาท่าน ๑ หญิงผู้อยู่ในพิทักษ์รักษา  เช่น หญิงอยู่ในปกครอง ของบิดามารดา หรือญาติทั้งหลายผู้อยู่ในฐานะเช่นนั้น  ๑  หญิงที่จารีตห้าม เช่น แม่ชี หรือที่กฎหมายบ้านเมืองห้าม เป็นต้น  ๑

              หญิง  ๓  จำพวกนี้  จะมีฉันทะร่วมกัน  หรือมิร่วมกันไม่เป็นประมาณชายร่วมสังวาสด้วย  ก็คงเป็นกาเมสุมิจฉาจาร  ชายผู้ข่มขืนหญิงนอกนี้  คงไม่พ้นกาเมสุมิจฉาจาร  เช่นเดียวกัน

              ส่วนชายก็เป็นวัตถุที่ห้ามของหญิงเหมือนกัน  เมื่อยกขึ้นกล่าวก็ได้  ๒  จำพวก  คือ  ชายอื่นจากสามีเป็นวัตถุที่ห้ามของหญิงมีสามี ชายที่จาริตห้ามเช่นนักบวช นักพรต เป็นต้น เป็นวัตถุที่ห้ามของหญิงทั้งปวง

มุสาวาทา  เวรมณี

สิกขาบทที่  ๔

              สิกขาบทนี้  (มุสาวาทา  เวรมณีแปลว่า เว้นจากมุสาวาท  

ความเท็จได้ชื่อว่า  มุสา

                  กิริยาที่พูดหรือแสดงอาการมุสา  ได้ชื่อว่ามุสาวาทในที่นี้

              ข้อนี้ บัญญัติขึ้นด้วยหวังจะห้ามความตัดประโยชน์ทางวาจา  เพราะคนทั้งหลายย่อมชอบ และนับถือ ความจริงด้วยกันทุกคน   ผู้พูดมุสาแก่คนอื่นจึงเป็นการตัดประโยชน์ท่าน จัดว่าเป็นบาป

              เมื่อเพ่งความจริงเป็นใหญ่  ดังนั้น  จึงมิใช่แต่มุสาเท่านั้น  แม้อนุโลมมุสาและปฎิสสวะ  ก็ถูกห้ามตามสิกขาบทนี้ด้วย

มุสา

              ข้อนี้พึงกำหนดรู้ด้วยลักษณะอย่างนี้ วัตถุ  (เรื่อง)  ที่จะกล่าวนั้นไม่เป็นจริง  ผู้กล่าวจงใจ กล่าว  และกล่าวให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง  เพื่อผู้ฟังเข้าใจผิด

              การแสดงความเท็จ เพื่อผู้อื่นเข้าใจผิดนั้น ไม่เฉพาะด้วยวาจาอย่างเดียว แม้การเขียน หนังสือ   การใช้มือให้สัญญาณ   การสั่นศีรษะ  เป็นต้น  ก็จัดเป็นมุสาวาทได้

                  มุสานั้น  มีประเภทที่จะพึงพรรณนาให้เห็นเป็นตัวอย่าง  ดังนี้

                  ปด  ได้แก่มุสาจัง ๆ  ไม่อาศัยมูลเลย   เช่นเห็นแล้วบอกว่าไม่เห็นเป็นต้น เรียกชื่อต่างกัน ตามความมุ่งหมายของผู้พูด  เช่นเพื่อยุให้เขาแตกกัน   เรียกว่าส่อเสียด  เพื่อจะโกงท่านเรียกว่าหลอก  เพื่อจะยกย่อง   เรียกว่ายอ   พูดไว้แล้วไม่รับคำ เรียกว่า   กลับคำ  เป็นตัวอย่าง

              ทนสาบาน  ได้แก่ กิริยาที่เสี่ยงสัตย์ว่าจะพูด  หรือจะทำตามคำสาบานแต่ไม่ ได้ตั้งใจจริงดังนั้น  เช่นพยานทนสาบานแล้วเบิกคำเท็จ  เป็นตัวอย่าง

              ทำเล่ห์กระเท่ห์   ได้แก่ กิริยาที่อวดอ้างความศักดิ์สิทธิ์   อันไม่เป็นจริง  เช่น  อวดรู้วิชาคงกระพันว่าฟันไม่เข้า   ยิงไม่ออก  เป็นต้น  เพื่อให้คนหลงเชื่อถือ  และพากันนิยมในตัว  เป็นอุบายหาลาภ

              มารยา  ได้แก่กิริยาที่แสดงอาการให้เขาเห็นผิดจากที่เป็นจริง   เช่นเป็นคนทุศีลทำท่า ทางให้เขาเห็นว่า เป็นคนมีศีล

              ทำเลศ  ได้แก่พูดเล่นสำนวน  เช่นเดินไปพบคนหนึ่งสวนทางมา  แล้วเดินเลยไป จากที่พบนั้น   สมมติว่า  ๒๐  วา  มีคนมาถามว่า  เห็นคนหนึ่งสวนทางไปไหม   ตอบว่า  ข้าพเจ้าเดิน มาตรงนี้ไม่เห็นใครเลยนอกจากผู้ถาม

              เสริมความ   ได้แก่พูดมุสาอาศัยมูลเดิม แต่เสริมให้มากกว่าที่เป็นจริง   เช่น  โฆษณา เครื่องดื่ม หรืออาหารเสริมบางอย่างว่า  เป็นยาชูกำลัง  หรือรักษาโรคมะเร็งได้ เป็นตัวอย่าง

              อำความ  ได้แก่พูดมุสาอาศัยมูลเดิม แต่ตัดข้อความที่ไม่ประสงค์จะให้รู้ออกเสียเพื่อทำ ความเข้าใจให้เป็นอย่างอื่น เช่น นักเรียนกลับจากโรงเรียนแล้วไปบ้านเพื่อน ผู้นิสัยเหมือนกันแล้วพา กันไปเที่ยวแหล่งอบายมุข  กลับบ้านผิดเวลา  บิดา มารดาถามว่า เหตุไฉนจึงกลับบ้านเช้า      เขาตอบ ว่าไปบ้านเพื่อน  เป็นตัวอย่าง

กรรมหนักหรือกรรมเบา

              เมื่อกล่าวโดยความเป็นกรรม มุสาวาท จัดว่ามีโทษหนักเป็นชั้นกันโดยวัตถุ เจตนา      และประโยค

              โดยวัตถุ  ได้แก่กล่าวมุสาแก่ท่านผู้มีคุณแก่ตน  คือ  พ่อ  แม่  ครู  เจ้านาย  และผู้มีคุณต่อส่วนรวม  คือ  ผู้มีศีลธรรมมีโทษหนัก

              โดยเจตนา  คือ  ถ้าผู้พูดคิดให้ร้ายแก่ท่าน  เช่น  ทนสาบานเบิกความเท็จ  กล่าวใส่ ความท่าน  หลอกลวงเอาทรัพย์ท่าน  เป็นต้น มีโทษหนัก

              โดยประโยค  คือ  ถ้าผู้พูดพยายามสร้างเรื่องเท็จ  เช่น มุสาว่าจะสร้างวัด แล้วพิมพ์ ใบฎีกาเรี่ยไร  อ้างสถาบัน  อ้างองค์กรการกุศลต่าง ๆ มาหลอกลวงทรัพย์ สินเงินทอง ชาว บ้านมีโทษหนัก

อนุโลมมุสา

              ข้อนี้พึงกำหนดรู้ด้วยลักษณะอย่างนี้  วัตถุ (เรื่อง)  ที่จะกล่าวนั้น ไม่เป็นจริง  แต่ผู้กล่าวไม่จงใจจะกล่าวให้ผู้ฟังเข้าใจผิด   มีประเภทที่จะพึงพรรณนาให้เห็นเป็นตัวอย่าง  ดังนี้

              เสียดแทง   ได้แก่กิริยาที่ว่าผู้อื่นให้เจ็บใจ  ด้วยอ้างวัตถุที่ไม่เป็นจริง  กล่าวยกให้สูงกว่า พื้นเพของเขา  เรียกว่า ประชด  หรือกล่าวทำให้เป็นคนเลวกว่าพื้นเพของเขา  เรียกว่าด่า

              สับปลับ  ได้แก่พูดปดด้วยความคะนองวาจา  แต่ผู้พูดไม่ได้จงใจจะให้เขา เข้าใจผิด    เช่นรับปาก  หรือปฏิเสธใครง่าย ๆ  แล้วไม่ปฏิบัติตามที่รับหรือปฏิเสธนั้น

ปฏิสสวะ

              ปฏิสสวะ  คือ  เดิมรับท่านด้วยเจตนาบริสุทธิ์  คิดจะทำตามรับไว้จริง แต่ภายหลังหาทำ อย่างนั้นไม่  พึงเห็นตัวอย่างดังนี้

              ผิดสัญญา  ได้แก่ทั้งสองฝ่ายทำสัญญาแก่กันไว้ว่า  จะทำเช่นนั้น ๆ  แต่ภายหลังฝ่าย ใดฝ่ายหนึ่งไม่ทำตามข้อที่สัญญาไว้

              เสียสัตย์  ได้แก่ให้สัตย์แก่ท่านฝ่ายเดียว  ว่าจะทำหรือไม่ทำเช่นนั้น  แต่ภายหลังไม่ทำ ตามนั้น  เช่นให้สัตย์ว่าจะเลิกค้ายาบ้า  แต่พอได้โอกาสก็ค้าอีกเป็นต้น

              คืนคำ ได้แก่รับปากท่านว่าจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้  แต่ไม่ทำตามพูด  เช่นรับปากจะให้สิ่งนั้น  ๆ  แก่ท่านแล้วหาให้ไม่

สุราเมรยมัชชปมาทัฎฐานา     เวรมณี

สิกขาบทคำรบ  ๕

              สิกขาบทนี้  (สุราเมรยมัชชปมาทัฎฐานา  เวรมณี)  แปลว่าเว้นจากดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัย  อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท

โทษของสุราและสิ่งมึนเมา

              สุราทำ   ให้เกิดความเมา

              ความเมา ทำให้ขาดสติ

              ความขาดสติ  ทำให้หลงผิด

              ความหลงผิด  เป็นเหตุให้พูดผิดและทำผิด

              ผู้พูดผิด  ทำผิด ทุคติเป็นอันหวังได้

              เพราะฉะนั้น  สุราและสิ่งมึนเมาทุกชนิด จึงไม่ควรดื่ม และไม่ควรเสพ

              แต่นักดื่ม  และนักเสพสิ่งเสพติดทั้งหลายมักจะเห็นผิดเป็นชอบ  มองเห็นสิ่งที่มีโทษ ว่ามีคุณ  มองสุราว่าทำให้ลืมความทุกข์ได้  จึงตั้งชื่อว่า  บรมสร่างทุกข์  มองฝิ่นว่าเสพแล้ว ทำให้เป็นคนอารมณ์เยือกเย็น  ไม่อาทรร้อนใจอะไร  จึงตั้งชื่อให้ว่า สุขไสยาศน์  มองกัญชาว่า  สูบแล้วทำให้จิตไร้วิตกกังวล  นอนหลับได้สนิท  จึงตั้งชื่อให้ว่า  เทวราชบรรทม  แต่ความจริง ไม่ได้เป็นเช่นนั้น  การที่เขาลืมความทุกข์ก็ดี การที่เขานอนอย่างมีความสุขก็ดี  การที่จิตใจของเขา ไร้ความวิตกกังวลกับสิ่งต่าง ๆ  ก็ดี  ล้วนเป็นผลมาจากการเมาสุราและยาจนขาดสติสัมปชัญญะ   ที่จะรู้สึกถึงความผิดชอบชั่วดีทั้งสิ้น เมื่อฤทธิ์สุราและยาหมดไปจิตใจก็กลับทุกข์อย่างเดิมต้องเสียทรัพย์ ไปซื้อหาสิ่งเหล่านั้นมาเสพอีก  ทั้งทำให้เป็นคนเกียจคร้าน  ไม่ประกอบอาชีพการงานมีแต่ล้าง ผลาญทรัพย์อย่างเดียว

              ดังนั้น   ที่ถูกสุราควรตั้งชื่อว่า  บรมสร้างทุกข์   ฝิ่นควรตั้งชื่อว่าสุขพินาศ  กัญชาควร ตั้งชื่อว่า  ปีศาจน์บรรทม  รวมสุราและยาเสพติดทุกอย่างควรตั้งชื่อว่า  บรมล้างผลาญ  เพราะผลาญ ทรัพย์สิน  เงินทอง เกียรติยศชื่อเสียง และคุณงามความดี  จนหมดสิ้น   เพราะฉะนั้น  สุราและสิ่งเสพ ติดทั้งหลายจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรดื่ม   ไม่ควรเสพ  หรือแม้แต่เพียงจะทดลอง

วิรัติคือความละเว้น

              บุคคลผู้เว้นจากข้อห้ามในสิกขาบท ๕ ประการนั้น ได้ชื่อว่า ผู้มีศีล กิริยาที่เว้นเรียกว่าวิรัตินั้นมี ๓ ประเภท  คือ  ๑. สัมปัตตวิรัติ  ๒. สมาทานวิรัติ  ๓. สมุจเฉทวิรัติ 

              ๑.  สัมปัตตวิรัติ แปลว่า  ความละเว้นจากวัตถุอันถึงเข้า  โดยไม่ได้ตั้งสัตย์ ปฏิญาณไว้ล่วงหน้า แต่บุคคลนั้นพิจารณาเห็นการที่ทำดังนั้นไม่สมควรแก่ตนโดยชาติตระกูล  ยศศักดิ์ ทรัพย์ บริวาร   ความรู้  หรือมีใจเมตตาปรานี  คิดถึงเราบ้าง  เขาบ้าง  มีหิริ  คือความละอายแก่ใจ  มี โอตตัปปะ      คือ ความเกรงกลัวจะได้บาป หรือคิดเห็นประโยชน์ในการเว้นอย่างอื่น ๆ อีก และเขาไม่  กระทำกรรมเห็นปานนั้น

              ส่วนบุคคลผู้ไม่มีโอกาสจะทำ  เช่น คนหัวขโมยยังไม่ได้ท่วงที  ยังลักของเขาไม่ได้  จึงเว้นไว้ก่อน  ดังนี้  ไม่จัดว่าเป็นวิรัติเลย

              .   สมาทานวิวัติ  แปลว่า   ความละเว้นด้วยการสมาทาน  ได้แก่ความละเว้นขอ งพวกคนจำศีล  เช่น  ภิกษุ  สามเณร   อุบาสก  และอุบาสิกา  เป็นต้น

              การงดเว้นจากวัตถุอันถึงเข้า   ด้วยเห็นว่า   ไม่สมควรจะทำ   และการงดเว้นด้วย

การสมาทาน  คือ  การไม่ล่วงข้อห้ามของนักบวช   นักพรตทั้งหลาย  นอกจากจะจัดเป็นวัติแล้ว  ยังจัดเป็นพรต  คือ  ข้อควรประพฤติของเขาด้วย

              ๓.    สมุจเฉทวิรัติ  แปลว่า   ความละเว้นด้วยตัดขาด  ได้แก่  ความเว้นของพระอริยเจ้า  ผู้มีปกติไม่ประพฤติล่วงข้อห้ามเหล่านั้นจำเดิมแต่ท่านได้เป็นพระอริยเจ้า

              ศีล  ๕   ประการนี้  เป็นวินัยในพระพุทธศาสนา  สาธารณะแก่บรรพชิต  และคฤหัสถ์

ทั้งสองฝ่าย  ผู้ถือพระพุทธศาสนาแท้จริง ย่อมรักษายิ่งบ้าง  หย่อนบ้าง  ตามภูมิของเขา  ฝ่ายผู้ไม่ได้รักษาเสียเลย   จะเป็นได้ดีที่สุดก็แต่เพียงผู้สรรเสริญพระพุทธศาสนาเท่านั้น

เบญจกัลยาณธรรม

              ผู้เว้นจากข้อห้ามทั้ง  ๕  ดังกล่าวมา  ได้ชื่อว่า  เป็นผู้มีศีล  ผู้มีศีลย่อมไม่ทำ หรือพูดอะไรที่สร้างความทุกข์  ความเดือดร้อนให้แก่ตนเอง  และผู้อื่น  แต่จะได้ชื่อว่ามีกัลยาณธรรม ทั่วทุกคน      หามิได้  ต่างว่าคนมีศีลผู้หนึ่ง  พบคนเรือล่มว่ายน้ำอยู่เขาสามารถจะช่วยได้  แต่หามี จิตกรุณาช่วยเหลือไม่ และคนนั้นไม่ได้ความช่วยเหลือจึงจมน้ำตายเช่นนี้ศีลของเขาไม่ขาดแต่ปราศจาก กรุณายังเป็นที่น่าติเตียน   เพราะส่วนนั้น  จะจัดว่าเขามีกัลยาณธรรมไม่ได้

              ถ้าเขาเห็นดังนั้นแล้ว  มีกรุณาเตือนใจ  หยุดช่วยคนนั้นให้พ้นอันตรายเช่นนี้  จึงได้ชื่อว่า  มีทั้งศีล  มีทั้งกัลยาณธรรม

              กัลยาณธรรมนั้น  แปลว่า  ธรรมอันงาม  กล่าวโดยความก็คือ  ข้อปฏิบัติพิเศษยิ่งขึ้นไปกว่าศีล ได้ในสิกขาบทนั้น ๆ เอง

              ในสิกขาบทที่ ๑ ได้กัลยาณธรรม  คือ  เมตตากับกรุณา

              ในสิกขาบทที่ ๒ ได้กัลยาณธรรม  คือ  สัมมาอาชีวะ

              ในสิกขาบทที่ ๓ ได้กัลยาณธรรม  คือ  ความสำรวมในกาม

              ในสิกขาบทที่ ๔ ได้กัลยาณธรรม  คือ  ความมีสัตย์

              ในสิกขาบทที่ ๕ ได้กัลยาณธรรม  คือ  ความมีสติรอบคอบ

กัลยาณธรรมในสิกขาบทที่ต้น

              เมตตา ได้แก่  ความคิดปรารถนาจะให้เขานั้นเป็นสุข   ตนได้สุขสำราญแล้ว  ก็อยากให้ผู้อื่นได้บ้าง  คุณข้อนี้เป็นเหตุให้สัตว์คิดเกื้อกูลกันและกัน

              วัด  โรงเรียน  โรงพยาบาล   โรงเลี้ยงเด็ก   สถานสงเคราะห์ต่าง ๆ มูลนิธิการกุศลต่าง ๆ  เป็นต้น  ล้วนเกิดมาจากความคิดเผื่อแผ่ความสุขให้แก่ผู้อื่นทั้งสิ้น จึงได้บริจาคทรัพย์ของตนสร้าง       ปฏิสังขรณ์หรือทำนุบำรุง  สถานที่นั้น ๆ  สำหรับผู้อื่นได้รับประโยชน์บ้าง

              ผู้ใด  ถึงเวลาที่ผู้อื่นควรจะได้เมตตาจากตัว อาจอยู่และหาเหตุขัดข้องมิได้ แต่หาแสดงไม่  เช่นมีลูกแล้วยังไม่เอาเป็นธุระเลี้ยงดูรักษา พบคนขัดสนอดข้าวไม่มีจะบริโภคมาถึงเฉพาะหน้าและตนอาจอยู่  แต่หาให้ไม่  ผู้นั้นได้ชื่อว่าคนใจจืด เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัวมีหนี้ของโลกติดตัวอยู่เพราะได้รับอุปการะของโลกมาก่อนแล้ว เมื่อถึงเวลาเข้าบ้างไม่ตอบแทน

              กรุณา  ได้แก่  ความคิดปรารถนาจะให้เขาปราศจากทุกข์   เมื่อเห็นทุกข์เกิดแก่ผู้อื่น       ก็พลอยหวั่นใจไปด้วย   คุณข้อนี้เป็นเหตุให้สัตว์คิดช่วยทุกข์ภัยของกันและกัน

              การแสดงกรุณานี้  เป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคนควรกระทำ  เพราะตนเองก็เคยได้รับกรุณา แต่ท่านผู้อื่นมาแล้ว  เป็นต้นว่า   เมื่อยังเล็กมารดาบิดา  หรือท่านผู้อื่นผู้บำรุงเลี้ยงก็คอยป้องกัน อันตรายต่าง ๆ  ที่จะพึงมีมา  เช่น  เจ็บไข้ก็ขวนขวายหาหมอรักษา เป็นต้น  และตนเองก็ยัง หวังกรุณาดังนั้นของท่านผู้อื่นต่อไปข้างหน้าอีก  เมื่อถึงเวลาที่จะต้องแสดงกรุณาแก่  ผู้อื่นเช่นนั้นบ้าง   จึงควรทำ

              ผู้ใดอาจอยู่แต่หาแสดงไม่เช่นเห็นคนเรือล่มที่น่ากลัวจะเป็นอันตรายถึงชีวิต และไม่ช่วยดัง แสดงมา แล้วในหนหลังหรือพบคนเจ็บไข้ตามหนทางไม่มีใครอุปถัมภ์ผ่าน ไปด้วยไม่สมเพช และไม่ขวนขวายอย่างหนึ่งอย่างใด ผู้นั้นได้ชื่อว่าคนใจดำ มีแต่เอาเปรียบโลกมีแต่หวังอุปการะของโลก ข้างเดียว  เมื่อถึงเวลาเขาบ้าง   เฉยเสียไม่ตอบแทน

              การช่วยเหลือผู้ประสบภัย การไถ่ชีวิตสัตว์จากโรงฆ่าสัตว์  การปล่อยนกปล่อยปลาเป็นต้น   ล้วนเกิดจากจิตใจที่มีความกรุณาทั้งสิ้น

              ความมีเมตตากรุณาแก่กันและกันเป็นธรรมอันงามก็จริงถึงอย่างนั้น ผู้จะแสดงควรเป็นคน ฉลาดในอุบายประโยชน์จึงจะสำเร็จ  ถ้าไม่ฉลาดมุ่งแต่จะเมตตากรุณาอย่างเดียว   บางอย่างก็เกิด โทษได้  เช่นเห็นเขาจับผู้ร้ายมาคิดแต่จะให้ผู้ร้ายรอดจากอาญาแผ่นดิน  และเข้าแย่งชิงให้หลุด ไปดังนี้  เป็นการเมตตากรุณาที่ผิด  และเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอีกด้วย  จึงเป็นกิจที่ไม่สมควรทำ  ในสถานการณ์เช่นนี้  ควรตั้งอยู่ในอุเบกขา   ถือเสียว่า  เขามีกรรมเป็นของเขา

              การแสดงเมตตากรุณานี้บุคคลประกอบให้ถูกที่แล้ว   ย่อมอำนวยผลอันดีให้แก่ผู้ประกอบ และผู้ได้รับ  ทำความปฏิบัติของผู้มีศีลให้งามขึ้น   เหมือนดังเรือนแหวน ประดับหัวแหวนให้งามขึ้น  ฉะนั้น จึงได้ชื่อว่า  เป็นกัลยาณธรรม  ในสิกขาบทที่ต้น

กัลยาณธรรมในสิกขาบทที่  ๒

              สัมมาอาชีวะ ได้แก่ความเพียรเลี้ยงชีวิตในทางที่ชอบคุณข้อนี้  อุดหนุนผู้มีศีลให้สามารถ รักษาศีลให้มั่นคงแท้จริงผู้มีศีลแม้เว้นการหาเลี้ยงชีวิตโดยอุบายที่ผิดแล้ว   ก็ยังต้องประกอบด้วยกิริยา  ที่ประพฤติเป็นธรรม    ในการหาเลี้ยงชีวิตด้วย                        

              กิริยาที่ประพฤติเป็นธรรมในการหาเลี้ยงชีวิตนี้  พึงเห็นในกิจการในบุคคล  และในวัตถุ ดังจะพรรณนาไปตามลำดับ

              ความประพฤติเป็นธรรมในกิจการนั้น  เช่นผู้ใด  เป็นลูกจ้างก็ดี  หรือได้รับผลประโยชน์ เพราะทำกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี   ผู้นั้นย่อมทำการอันเป็นหน้าที่ของตนนั้น  ด้วยความอุตสาหะ เอาใจใส่และด้วยความตั้งใจจะให้การนั้นสำเร็จด้วยดี   และการทำเต็มเวลาที่กำหนดไว้สำหรับทำการ    มาเช้าก่อนกำหนดเลิกทีหลังกำหนด  และในกำหนดที่ทำก็ไม่บิดพลิ้ว หลีกเลี่ยงจากการงาน     ดังนี้ได้ ชื่อว่า ประพฤติเป็นธรรมในกิจการ

              ความประพฤติเป็นธรรมในบุคคลนั้นเช่นบุคคลได้เป็นผู้ดูการ มีผู้อื่นเป็นลูกมืออยู่ใต้บังคับ  ผู้นั้น  เมื่อจับจ่ายค่าจ้าง  ย่อมให้ตามสัญญา  หรือตามแรงของเขา   อีกอย่างหนึ่ง   เช่นผู้ขายของ  เมื่อซื้อสินค้าแล้ว  กำหนดว่าจะเอากำไรร้อยละเท่าไรแล้ว  และกำหนดราคาสิ่งของลงไว้ผู้ใด   ผู้หนึ่งมาซื้อ  เป็นผู้มีบรรดาศักดิ์สูงก็ตามเป็นคนสามัญก็ตาม  ก็ขายเท่าราคานั้นยั่งยืนเสมอไป ไม่ประพฤติเป็นคนเห็นแก่ได้  เช่นเห็นคนเซอะซะมา ไม่รู้ราคาสิ่งของก็บอกผ่านราคาแพง ๆ ถ้าเห็นคนซื้อมีไหวพริบก็ขายตามตรง  ดังนี้ได้ชื่อว่า ประพฤติเป็นธรรมในบุคคล

              ความประพฤติเป็นธรรมในวัตถุนั้น   เช่นคนขายของ  ขายสิ่งอะไร  เช่น นม  เนย น้ำผึ้ง  ขี้ผึ้ง  เป็นต้น  เป็นของแท้หรือของปน  ก็บอกตามตรงไม่ขายของปนอย่างของแท้  การขายของปลอม      เช่นนี้ไม่เป็นเพียงลวงให้ผู้ซื้อเสียทรัพย์เต็มราคายังหักประโยชน์ของผู้ซื้อให้เสียด้วย เช่นจะต้องการน้ำผึ้ งแท้ไปทำยา  ได้น้ำผึ้งปนมาทรัพย์ก็ต้องเสียเท่าราคาน้ำผึ้งแท้  และน้ำผึ้งปนนั้น  ก็เป็นกระสายยาไม่ดี มิเหมือนน้ำผึ้งแท้

              อนึ่ง  ของกินที่ล่วงเวลาเป็นของเสียแล้ว  จะให้โทษแก่ผู้กิน  ก็ไม่แต่งปลอมเป็นของดีขาย ขายของเช่นนี้ร้ายกว่าข้างต้น  อาจทำให้ผู้กินเสียชีวิตหรือเจ็บไข้ได้ทุกข์  ข้อนี้พึงเห็นตัวอย่างในแกง ที่ค้างคืนบูดแล้วอุ่นขายอีก

              อีกอย่างหนึ่ง  เช่นทำสัญญารับจะสร้างเรือนและมีกำหนดว่า  จะใช้ของชนิดนั้น ๆ  ก็ทำตรงตามสัญญา  ไม่ยักเยื้องไม่ผ่อนใช้ของชั้นที่  ๒ แทนของชั้นที่  ๑  ดังนี้  ชื่อว่า ประพฤติเป็นธรรมในวัตถุ

ควรเว้นการงานอันประกอบด้วยโทษ

              ผู้จะเลือกหาการงานควรเว้นการงานอันประกอบด้วยโทษเสีย แม้เป็นอุบายจะได้ทรัพย์มาก  เหตุทรัพย์ที่เกิดเพราะการงานประกอบด้วยโทษนั้น   ไม่ยังประโยชน์ของทรัพย์ให้สำเร็จเต็มที่

              อีกข้อหนึ่ง  การงานที่ต้องเสีย  เช่น การพนัน  ก็ไม่ควรเลือก  เหตุว่า พลาดท่าก็ฉิบหาย      ถ้าได้   ทรัพย์นั้นก็ไม่ถาวรด้วยเหตุ   ๒   ประการ  (๑)  เป็นของได้มาง่าย  ความเสียดายน้อย      จับจ่ายง่าย  เก็บไม่ค่อยอยู่  (๒)  ความอยากได้ไม่มีที่สุด  ได้มาแล้วก็คงอยากได้อีก  เคยได้ในทางใด      ก็คงหาในทางนั้นอีก  เมื่อลงเล่นการพนันไม่หยุด  จะมีเวลาพลาดท่าลงสักคราวหนึ่งก็เป็นได้

              เหตุดังนั้นควรเลือกหาการงานที่จะต้องออกกำลังกายกำลังความคิดหรือออกทรัพย์ที่ให้ผู้นั้น รู้สึกว่า  ต้องลงทุน  เมื่อได้ทรัพย์มาจะได้รู้จักเสียดาย  ไม่ใช้สอยสุรุ่ยสุร่ายเสีย

 

ควรรักษาทรัพย์ให้พ้นอันตรายและใช้จ่ายพอสมควร

              ทรัพย์ที่ได้มาด้วยความหมั่นทำการงานนั้น จะเจริญมั่งคั่งก็เพราะเจ้าของเอาใจใส่รักษาให้ พ้นอันตรายต่าง ๆ  ที่เกิดแต่เหตุภายในคือตนเอง  หรือบุตร ภรรยา ใช้สอยให้สิ้นเสีย  เพราะเหตุไม่   จำเป็นและเกิดแต่เหตุภายนอกเช่นโจรนำไปเสียหรือไฟผลาญเสียเป็นต้น และเจ้าของควรจับจ่ายใช้สอย แต่พอสมควรไม่ฟูมฟายเกินกว่าที่หาได้  หรือเกินกว่าที่ต้องการ  และไม่เบียดกรอจนถึงกับ   อดอยาก

ขยันทำงานสนับสนุนการรักษาศีล

              ผู้ประกอบการงาน พึงมีอุตสาหะอย่าท้อถอย จงดูเยี่ยงแมลงผึ้งบินหาเกสรดอกไม้  นำมาทีละน้อย ๆ ยังอาจทำน้ำผึ้งไว้เลี้ยงตัว  และลูกน้อยได้ตลอดฤดูหนาวที่กันดารด้วยดอกไม้  เมื่อเขาหมั่นทำการงานได้ทรัพย์มาจับจ่ายเลี้ยงตน และครอบครัวบ้างเก็บไว้เพื่อเหตุการณ์ข้างหน้าบ้าง เสมอไปถึงไม่มากแต่เพียงคราวละน้อย ๆ ก็พอจะทำตนให้เป็นสุขสำราญ และไม่ต้องประกอบการ ทุจริต เพราะความเลี้ยงชีวิตเข้าบีบคั้น  เป็นอันรักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้

              ดังนี้แล สัมมาอาชีวะ เป็นคุณอุดหนุนศีลให้บริสุทธิ์มั่นคง จึงได้ชื่อว่า เป็นกัลยาณธรรมในสิกขาบทที่  ๒

กัลยาณธรรมในสิกขาบทที่  ๓

              ความสำรวมในการนั้นได้แก่กิริยาที่ระมัดระวังไม่ประพฤติมักมากในกามคุณข้อนี้ส่องความ บริสุทธิ์ผ่องใสของชายหญิง ให้กระจ่างแจ่มใส เพราะชายหญิงผู้เว้นจากกาเมสุมิจฉาจารแล้วแต่ยัง ประพฤติมักมากอยู่ในกาม  ย่อมไม่มีสง่าราศรีตกอยู่ในมลทิน ไม่พ้นจากความติฉันไปได้

              ธรรมข้อนี้แยกตามเพศของคน  ดังนี้

              สทารสันโดษ  คือ  ความสันโดษด้วยด้วยภรรยาของตน  เป็นคุณสำหรับประดับชาย

              ปติวัตร  คือ  ประพฤติเป็นไปในสามีของตน   เป็นคุณสำหรับประดับหญิง

              ชายได้ภรรยาแล้วมีความพอใจด้วยภรรยาของตนช่วยกันหาเลี้ยงชีวิตเลี้ยงดูกันไปไม่ละทิ้ง  ไม่ผูกสมัครรักใคร่กับหญิงอื่นอีกต่อไป    ดังนี้  ได้ชื่อว่า สันโดษด้วยภรรยาของตนเป็นอย่างอุกกฤษฏ์

              ฝ่ายหญิง  ได้สามีแล้ว   เอาใจใส่บำเรอสามีของตนทุกอย่างตามที่ภรรยาจะทำให้ดีที่สุด   ผูกสมัครรักใคร่แต่ในสามีของตนที่สุดสามีของตนตายไปก่อนแล้วด้วยอำนาจความรักใคร่นับถือในสามี ผู้ตายไปแล้วเขาคงตัวเป็นหม้ายอยู่ดังนั้นไม่มีสามีใหม่ ไม่ผูกสมัครรักใคร่ในชายอื่นด้วยความ ปฏิพัทธ์อีกต่อไป หญิงผู้นี้  ได้ชื่อว่า มีปติวัตร ประพฤติเป็นไปในสามีของตน

              ความสำรวมในกาม  ส่องความประพฤติดีงามของชายหญิงยิ่งขึ้น  จึงได้ชื่อว่า กัลยาณธรรมในสิกขาบทที่  ๓

 

กัลยาณธรรมในสิกขาบทที่ ๔

              ความมีสัตย์นั้น  ได้แก่กิริยาที่ประพฤติตนเป็นคนตรงมีอาการที่จะพึงเห็นในข้อต่อไปนี้

              ความเที่ยงธรรม  คือประพฤติเป็นธรรมในกิจการอันเป็นหน้าที่ของตน ไม่ทำให้ผิดกิจ  ด้วยอำนาจอคติ ๔ ประการ คือ  ฉันทาคติ  ความเห็นแก่กัน  ๑ โทสาคติ ความเกลียดชังกัน  ๑  โมหาคติ  ความหลงไม่รู้ทัน  ๑  ภยาคติ  ความกลัว  พึงเห็นตัวอย่างผู้พิพากษา ผู้วินิจฉัยอรรถคดีโดยเที่ยงธรรม  เป็นต้น

              ความซื่อตรง คือความประพฤติตรงต่อบุคคลผู้เป็นมิตร  ด้วยการอุปการะเกื้อหนุนร่วม สุขร่วมทุกข์  คอยตักเตือนให้สติ  แนะนำสิ่งที่เป็นประโยชน์  มีความรักใคร่กันจริง  ไม่คิดร้ายต่อมิตร  เช่น   ปอกลอกเอาทรัพย์สินเงินทองเป็นต้น  มิตรเช่นนี้ได้ชื่อว่า  ซื่อตรงต่อมิตร

              ความสวามิภักดิ์   คือความรักในเจ้า (เจ้านายผู้ใหญ่) ของตน  เมื่อได้ยอมยก บุคคลใดเป็นเจ้าของตนแล้วก็ประพฤติซื่อสัตย์ไม่คิดคดต่อบุคคลนั้น  มีใจจงรัก  เป็นกำลังในสรรพกิจ      และป้องกันอันตราย   แม้ชีวิตก็ยอมตายแทนได้

              ความกตัญญู  คือ  ความรู้อุปการะที่ท่านได้ทำแล้วแก่ตน   เป็นคู่กับความกตเวที  คือ ความตอบแทนให้ท่านทราบว่า    ตนรู้อุปการะที่ท่านได้ทำแล้ว

                  บุคคลผู้ได้รับอุปการะจากท่านผู้ใดแล้ว  ยกย่องนับถือท่านผู้นั้น   ตั้งไว้ในที่ผู้มีบุญคุณ     เช่น  มารดา   บิดา   อาจารย์   เจ้านายเป็นต้น   ไม่แสดงอาการลบหลู่  และยกตนเทียบเสมอ      ได้ชื่อว่าคนกตัญญู

              ความมีสัตย์  ทำผู้มีศีลให้บริบูรณ์ด้วยคุณสมบัติยิ่งขึ้น  ดังนี้  จึงได้ชื่อว่า เป็นกัลยาณธรรมในสิกขาบทที่  ๔

กัลยาณธรรมสิกขาบทคำรบ  ๕

              ความมีสติรอบคอบนั้น ได้แก่ความมีสติตรวจตราไม่เลินเล่อมีอาการที่จะพึงเห็นในข้อ ต่อไปนี้

              ๑.  ความรู้จักประมาณในอาหารที่จะพึงบริโภค หมายถึง  รู้จักเว้นอาหารที่แสลงโรค บริโภคอาหารแต่พอดี  และรู้จักประมาณในการจับจ่ายหาอาหารบริโภคแต่พอสมควรแก่กำลัง ทรัพย์ที่หาได้

              ๒. ความไม่เลินเล่อในการงาน คือไม่ทอดธุระเพิกเฉยเสีย   เอาใจใส่คอยประกอบให้ชอบ แก่กาลเทศะ  ไม่ปล่อยให้อากูลเสื่อมเสีย  เช่นทำนาก็ต้องทันฤดู  ค้าขายก็ต้องรู้คราวที่คนต้องการ หรือไม่ต้องการของนั้น ๆ  รับราชการก็ต้องเข้าใจวิธีดำเนินและรักษาระเบียบ  เป็นต้น

              ๓.  ความมีสติสัมปชัญญะในการประพฤติตัว  หมายถึงความรอบคอบ  รู้จักระวัง หน้าระวังหลัง   จะประกอบกิจใด ๆ  ก็ตริตรองให้เห็นก่อนว่า  จะมีคุณหรือมีโทษ   จะมีประโยชน์ หรือจะเสียประโยชน์ อันจะควรทำหรือไม่ควรทำ   ถ้าเห็นว่าไม่ควรทำก็งดเสียถ้าเห็นว่าควรทำ  จึงทำ

              ถึงจะพูดอะไรก็ระวังวาจาลั่นออกมาแล้วไม่ต้องคืนคำ  และไม่ให้นำแต่ความเสียหายมา ให้ตัวและผู้อื่นถึงจะคิดอะไรก็อาศัยหลักฐาน  ไม่ปล่อยให้พล่านไปตามกำลังความฟุ้ง

              บุคคลมีสัมปชัญญะ  ตรวจทางได้ทางเสียก่อนแล้วจึงทำกิจนั้น ๆ  เช่นนี้ ย่อมมีปกติทำ อะไรไม่ผิดในกิจที่เป็นวิสัยของคน

              ๔.  ความไม่ประมาทในธรรมะ  หมายถึงไม่ประมาทในธรรม  คือสภาวะ อันเป็นอยู่ตามธรรมดาของโลก  อธิบายว่า กิริยาที่ร่างกายวิปริตแปรผัน  จากหนุ่มสาวมาเป็น ผมหงอก  ฟันหลุดเนื้อหนังหย่อนเป็นเกลียว  ตักกระ  หลังโกง  ตามืด  หูตึง  ใจฟั่นเฟือนหลงใหล  มีกำลังน้อยถอยลง      ชื่อว่าชรา  ความไม่ผาสุกเจ็บไข้ไปต่าง ๆ  ของสังขารร่างกาย   ชื่อว่า  พยาธิ  กิริยาที่ธาตุทั้ง  ๔  ชราพยาธิ    และมรณะทั้ง  ๓ นี้   เป็นสภาวะของสังขารอย่างหนึ่ง  ซึ่งมนุษย์ยังไม่มีอุบายแก้ไขให้ไม่แก่ไม่เจ็บ  ไม่ตาย  ตั้งแต่กาลนานมา  จนถึงปัจจุบันนี้

              ผู้หยั่งรู้ธรรมดาของสังขารเช่นนี้แล้ว  ไม่เลินเล่อมัวเมาในวัย  ในความสำราญ  และในชีวิต      เตรียมตัวที่จะรับทุกข์  ๓  อย่างนี้  อันจะมาถึงเมื่อยังเป็นเด็ก  รีบศึกษาแสวงหาวิชาความรู้ไว้ เป็นเครื่องมือ   เติบใหญ่หมั่นทำการงานสั่งสมเมื่อชรา  พยาธิ  ครอบงำ   ไม่อาจทำการหา เลี้ยงชีพได้     ก็จะได้อาศัยทรัพย์และชื่อเสียงคุณความดี ที่ได้สั่งสมไว้เลี้ยงชีพให้ตลอดไปโดย ผาสุข

              เมื่อมรณะมาถึง ก็จะได้ไม่ห่วงใยพะวักพะวน  สิ่งใดสิ่งหนึ่ง  ซึ่งเป็นอาการของคนหลงตาย เช่นนี้ได้ชื่อว่า  ไม่ประมาทในธรรม  คือสภาวะอันเป็นอยู่ตามธรรมดาของโลก

              อีกประการหนึ่ง   ทุจริต  คือ  ความประพฤติชั่วด้วย  กาย  วาจา   และใจ  ย่อมให้   ผลแก่ผู้กระทำ ล้วนแต่เป็นส่วนที่ไม่น่าปรารถนารักใคร่พึงใจใคร ๆ จะเลินเล่อเสียว่าตนทำแต่เล็ก น้อย ไม่เป็นไร  ไม่พอจะให้ผลทำให้ตนเสีย   ดังนั้นไม่ชอบมากมาแต่ไหนก็มาแต่น้อยก่อนเขาทำที ละน้อย ย่ามใจเข้า  ความชั่วก็สะสมมากขึ้น

              อีกอย่างหนึ่ง  สุจริต  คือ  ความประพฤติชอบด้วยกาย   วาจา  ใจ ย่อมให้ผลแก่ผู้ทำ      ล้วนแต่ส่วนที่น่าให้ปรารถนา   รักใคร่   พึงใจ  ใคร ๆ จะเห็นว่า ทำแต่เพียงเล็กน้อย  ที่ไหนจะให้ผล       ดังนี้แล้ว   จะท้อถอยและทอดธุระเสีย   ไม่สมควร   แต่หมั่นทำบ่อย ๆ เข้า   ความดีก็ สะสมมากขึ้น         น้ำฝนที่ตกทีละหยาด ๆ ยังเต็มภาชนะที่รองได้  ควรถือเป็นเยี่ยงอย่าง   ผู้ไม่วางธุระ   คอยระวังตัว         ไม่ให้เกลือกกลั้วด้วยทุจริตหมั่นสั่งสมสุจริต เช่นนี้ก็ได้ชื่อว่า  ไม่ประมาทในธรรมที่เป็น กุศลและอกุศล

              อีกประการหนึ่ง  คนทั้งหลายผู้เกิดมาได้ชื่อว่าที่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏ ก็เป็นธรรมดา ที่จะได้พบเห็นสิ่งต่าง ๆ  เป็นที่น่าปรารถนาบ้าง ไม่ปรารถนาบ้าง  เรียกว่า  โลกธรรม  แปลว่า      ธรรมสำหรับโลก  ส่วนที่น่าปรารถนา  คือ  ได้ลาภ   ได้ยศ ได้ความสรรเสริญ   ได้สุข  ส่วนที่ไม่น่าปรารถนา  คือ  ขาดลาภ  ขาดยศ  ได้นินทา  ได้ทุกข์  เปรียบเหมือนคนเดินทางไปไหน ๆ  ก็ย่อมจะได้พบสิ่งต่าง ๆ  ในระหว่างทางที่น่าดูน่าชมบ้าง  ไม่น่าดูไม่น่าชมบ้าง

              โลกธรรมนี้เป็นสิ่งที่จะพึงประสบชั่วเวลาไม่ควรจะเก็บเอามาเป็นทุกข์เป็นเหตุทะเยอทะยาน หรือซบเซาด้วยอำนาจความยินดียินร้ายให้เกินกว่าที่ควรจะเป็น เช่น  แสดงอาการด้วยกายหรือวาจา ให้ปรากฏ   เมื่อทำเช่นนั้นไปก็แสดงความมีใจอ่อนแอของตนเองหาสมควรไม่

              ผู้ไม่เลินเล่อคอยระวังไม่ให้โลกธรรมครอบงำใจ จนถึงแสดงวิการให้ปรากฏ  เช่นนี้ได้ชื่อว่า ไม่ประมาทในธรรมที่มีสำหรับโลก ความมีสติรอบคอบประดับผู้มีศีล ให้มีความประพฤติดีงามขึ้น จึงได้ชื่อว่า  เป็นกัลยาณธรรมในสิกขาบทคำรบ  ๕

              คนผู้ตั้งอยู่ในกัลยาณธรรม ได้ชื่อว่า กัลยาณชน  คือคนมีความประพฤติดีงาม  ควรเป็นที่นิยมนับถือ   และเป็นเยี่ยงอย่างของคนทั้งปวง

 

วิดีโอ

WatpaLA-Youtube

Copyright ©2554 วัดป่าธรรมชาติ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา