หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม
วัดอรัญญวิเวก
ต.บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม
ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม
วัดอรัญญวิเวก
ต.บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม
๏ ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
“หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม” นามเดิมชื่อ ตื้อ นามสกุล ปาลิปัตต์ ท่านเป็นตระกูลชาวนา ถือกำเนิดเมื่อวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2431 ตรงกับวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ปีชวด สัมฤทธิศก จุลศักราช 1250 ณ บ้านข่า ตำบลบ้านข่า อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม
บิดาชื่อ นายปา ปาลิปัตต์
มารดาชื่อ นางปัตต์ ปาลิปัตต์
มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 7 คน ชาย 5 คน หญิง 2 คน คือ
1. นางคำมี ปาลิปัตต์ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
2. เป็นชาย (ถึงแก่กรรมแล้วตั้งแต่ยังเด็ก)
3. นายทอง ปาลิปัตต์ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
4. นายบัว ปาลิปัตต์ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
5. หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม (มรณภาพแล้ว)
6. นายตั้ว ปาลิปัตต์ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
7. นางอั้ว ทีสุกะ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เป็นผู้มีนิสัยรักความสงบ เข้าเป็นศิษย์วัดตั้งแต่ยังเด็ก และได้รับการบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ระยะหนึ่ง เป็นผู้ใฝ่ใจในการศึกษา มีนิสัยตรงไปตรงมา และเป็นที่น่าสังเกตว่าในเครือญาติของท่านใฝ่ใจในการบรรพชาอุปสมบททั้งนั้น และถ้าเป็นหญิงก็เข้าบวชชีตลอดชีวิต
สำหรับหลวงปู่ตื้อ ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อมีอายุได้ 21 ปี โดยอุปสมบทครั้งแรกในฝ่ายมหานิกาย บวชนานถึง 19 พรรษา ต่อมาได้ญัตติเป็นฝ่ายธรรมยุติกนิกาย จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตได้ 46 พรรษา สิริรวมอายุได้ 86 ปี 65 พรรษา
ก่อนที่หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม จะออกบวชเป็นพระภิกษุนั้น ท่านได้เกิดนิมิตอันดีงามแก่ตัวท่านเอง คือ ก่อนคืนที่ท่านจะออกบวชนั้น กลางคืนท่านได้นิมิตฝันว่า ได้มีชีปะขาว 2 คนเข้ามาหาท่าน คนหนึ่งแบกครกหิน อีกคนหนึ่งถือสากหิน มาหยุดอยู่ตรงหน้าท่านแล้ววางครกและสากลง คนแรกได้พูดว่า
“ไอ้หนู เจ้ายกสากหินนี้ออกจากครกได้ไหม ?”
หลวงปู่ตื้อตอบว่า “ขนาดต้นเสาใหญ่ผมยังแบกคนเดียวได้ ประสาอะไรกับของเพียงแค่นี้”
แล้วท่านก็เดินเข้าไปพยายามยกเท่าไรๆ ก็ไม่สำเร็จ จนถึงวาระที่ 3 จึงสามารถยกสากหินนั้นขึ้นได้
เมื่อยกได้แล้วก็ได้เอาสากหินนั้นตำลงที่ครก และตำเรื่อยไป มองดูที่ครกเห็นมีข้าวเปลือกเต็มไปหมด ท่านจึงได้พยายามตำข้าวเปลือกเหล่านั้นจนกลายเป็นข้าวสารเต็มไปหมด และชีปะขาวก็หายไป
เมื่อชีปะขาวหายไป จากนั้นปรากฏว่าได้มีพระเถระ 2 รูป มีกิริยาอาการน่าเคารพเลื่อมใสมาก ทั้งมีร่างกายเป็นรัศมี ท่านนึกว่าเป็นพระอริยเจ้าผู้วิเศษ เดินตรงมาหาท่านแล้วพูดเบาๆ ว่า
“หนูน้อย เจ้ามีกำลังแข็งแรงมาก”
พอดีท่านรู้สึกตัวขึ้นมา แล้วนั่งทบทวนพิจารณาถึงความฝันที่ผ่านมา เห็นเป็นเรื่องแปลกและพิสดารมาก คิดว่านิมิตเช่นนี้จะทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้างหนอ คิดแต่เพียงว่าคงจะมีเรื่องที่ดีเกิดขึ้นกับท่านแน่
ท่านคิดได้แค่นี้ก็ระลึกถึงคำสั่งของบิดาว่า ได้สั่งให้ไปต้อนควายจากท้องทุ่งให้เข้ามากินอยู่ใกล้ๆ บ้าน ท่านจึงได้ลุกออกจากบ้านไปต้อนไล่ควายมาเลี้ยงอยู่ใกล้ๆ บ้าน แต่ในใจก็ยังนึกถึงความฝันเมื่อคืนนี้อยู่
เป็นเพราะหลวงปู่ตื้อมีนิสัยรักความสงบอยู่แล้ว จึงคิดขึ้นมาว่า สมควรที่เราจะต้องบวชเพื่อประพฤติธรรมดูบ้าง คิดว่าวันพรุ่งนี้เราจะต้องออกไปอยู่วัดอีก เพื่อจะได้บวชเป็นพระภิกษุแล้วจะได้มีโอกาสประพฤติธรรมอย่างจริงจังบ้าง และก็เป็นเช่นที่คิด พอรับประท่านอาหารเย็นวันนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว
บิดาท่านก็บอกว่า “กินข้าวอิ้มแล้วให้รีบไปหาปู่จารย์สิมที่บ้าน ปู่จารย์สิมมาตามหาเจ้าตั้งแต่กลางวันแน่ะ”
หลวงปู่ตื้อนึกสงสัยว่าจะมีเรื่องอะไรก็ไม่ทราบ จึงรีบไปหาปู่อาจารย์สิมทันที
(คำว่า พ่ออาจารย์, ปู่จารย์ หมายถึง ผู้ชายที่ได้บวชเรียนเป็นพระภิกษุมาก่อนหลายพรรษา และได้เล่าเรียนวิชาจนมีความรอบรู้พอสมควร เป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป แต่ต่อมาได้สึกออกมาใช้ชีวิตฆราวาส)
เมื่อไปถึงบ้านปู่จารย์สิมเรียบร้อยแล้ว ปู่จารย์สิมเปิดประตูข้างในเรือนและเรียกให้ท่านเข้าไปหา พอท่านเข้าไปในห้อง เห็นมีผ้าไตรจีวร บาตร และเครื่องบริขารสำหรับบวชพระ แล้วปู่จารย์สิมก็ยื่นขันดอกไม้ที่เตรียมเอาไว้ให้พร้อมกับพูดว่า “เห็นมีแต่หลานคนเดียวเท่านั้นที่สมควรจะบวชให้ปู่ เพราะปู่ได้เตรียมเครื่องบวชไว้เรียบร้อยแล้ว แต่หาคนบวชไม่ได้ จึงให้หลานได้บวชให้ปู่สัก 1 พรรษา หรือได้สัก 7 วันก็ยังดี ขอให้บวชให้ปู่ก็เป็นพอ จะนานเท่าไรก็ได้ไม่เป็นไร”
หลวงปู่ตื้อได้รับปากกับปู่จารย์สิมซึ่งเป็นปู่ของท่านทันที แต่ขอไปบอกลาบิดามารดาเสียก่อน เมื่อบิดามารดาอนุญาตให้ก็จะได้บวชตามที่ปู่จารย์สิมต้องการ
บิดามารดาของท่านเมื่อได้ยินลูกชายเล่าให้ฟังเช่นนั้น ก็อนุญาตตามที่ปู่จารย์สิมขอ พร้อมกับกล่าวคำอนุโมทนาสาธุการ แสดงความยินดีกับลูกชายเป็นอย่างยิ่ง
พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
๏ ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา
เมื่อหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ได้รับอนุญาตจากบิดามารดาให้บวชแล้ว ท่านก็ได้เข้าไปอยู่เป็นศิษย์วัด อยู่ต่อมาจนได้อุปสมทบเป็นพระภิกษุในฝ่ายมหานิกาย เมื่อปี พ.ศ.2452 แต่ในบันทึกไม่ปรากฏแน่ชัดว่าท่านบวชที่ไหนและบวชกับใคร ท่านบอกว่า ท่านบวชกับพระอุปัชณาย์คาน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม แล้วก็กลับไปจำพรรษาที่วัดบ้านข่าซึ่งเป็นบ้านเดิม เพื่อศึกษาเล่าเรียนตามอุปนิสัยที่ท่านถนัดอยู่แล้ว นิสัยของท่านชอบการศึกษาค้นคว้าพระธรรมวินัยอันเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก
เมื่อท่านบวชครบ 7 วัน แล้วปู่จารย์สิมได้มาหาท่านที่วัด ถามถึงเรื่องที่จะสึกหรือไม่สึก ถ้าสึกจะหาเสื้อผ้ามาเตรียมไว้ให้ ท่านก็สองจิตสองใจใคร่สึกบ้าง ไม่สึกบ้าง แต่มาคิดได้ว่า ถ้าสึกตอนนี้ชาวบ้านจะพากันเรียก ไอทิต 7 วัน รู้สึกอับอาย จึงบอกปู่จารย์สิมว่า “อาตมายังไม่อยากสึก ขออยู่ไปก่อน รอให้ออกพรรษาก่อนเถิด”
ท่านก็บวชอยู่ได้ครบพรรษาหนึ่ง ท่านหัดท่องหัดสวดเจ็ดตำนาน สิบสองตำนานจนขึ้นใจ พอออกพรรษาเรียบร้อยแล้ว ต่อมาอีกเดือนเศษๆ ปู่จารย์สิมก็มาหาท่านอีกและถามท่านว่าจะสึกหรือไม่ ท่านก็ทำเฉยเสีย เพราะรู้สึกใจคอท่านสบายดีอยู่ ถ้าหากสึกไปแล้ว การเล่าเรียนพระธรรมก็ยังไม่ไปถึงไหนเลย แค่อาราธนาศีล 5 ศีล 8 อาราธนาเทศน์ยังทำไม่ได้คล่องแคล่ว เมื่อสึกออกไป ถูกเขาไหว้วานให้อาราธนา ถ้าว่าไม่ได้จะอายเขาเปล่าๆ
ต่อมาท่านได้เดินทางเพื่อไปศึกษาวิชาธรรมะในทางพระพุทธศาสนาที่เรียกกันวา “เรียนสนธิ์ เรียนนาม มูลกัจจายน์” อันเป็นวิชาที่เรียนได้ยากในสมัยนั้น ถ้าหากใครเรียนได้จบตามหลักสูตร เรียกกันว่า “นักปราชญ์” เป็นผู้แตกฉานในพระธรรมวินัย ซึ่งหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ได้เดินทางไปเรียนที่วัดโพธิชัย อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม การเดินทางไปมีความลำบากมากทางคมนาคมไม่สะดวกเลย ต้องเดินไปด้วยเท้า (ระยะทางประมาณ 51 กิโลเมตร) สำนักเรียนวัดโพธิชัยมีชื่อเสียงมากในขณะนั้น เพราะมีอุปัชฌาย์คาน เป็นเจ้าสำนักเรียน
ต่อมาได้เข้าศึกษาเล่าเรียนวิชาบาลีสนธิ์นาม และมูลกัจจายน์ ในสำนักวัดโพธิชัยนี้ ด้วยความสนใจเป็นเวลานานถึง 4 ปีเต็ม จึงจบตามการสอนของสำนักเรียน และได้ถือโอกาสกราบเรียนลาท่านพระอาจารย์ผู้เป็นเจ้าสำนักเรียน เพื่อกลับสำนักเดิมคือ วัดบ้านข่า
เมื่อท่านกลับมาอยู่วัดได้ 3 วันเท่านั้น ทั้งนี้คงเป็นเพราะนิสัยที่ท่านใฝ่ใจในธรรม ชอบศึกษาค้นคว้าในค่ำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านจึงได้เดินทางออกจากบ้านเพื่อจะไปเรียนพระปริยัติธรรมต่อที่กรุงเทพมหานคร อันเป็นแหล่งที่มีการศึกษาเจริญที่สุด ได้ชักชวนพระภิกษุรูปหนึ่งในวัดออกเดินทางจากวัดเดิมธุดงค์มุ่งหน้าไปยังจังหวัดอุดรธานีก่อน ค่ำไหนก็พักจำวัดทำสมาธิภาวนาที่นั่น เป็นเวลาหลายวันจึงถึงอุดรธานี
แต่พอเดินทางถึงจังหวัดอุดรธานี พระภิกษุที่เป็นเพื่อนเดินทางเกิดเปลี่ยนใจเพราะคิดถึงบ้านอยากจะกลับบ้าน ไม่ยอมไปเรียนต่อที่กรุงเทพมหานครตามที่ตั้งใจเอาไว้ ถึงแม้จะพูดอย่างไรก็ตามก็ไม่ยอม คิดแต่จะกลับบ้านอย่างเดียว ท่านต้องเป็นเพื่อนเดินทางกลับไปส่งพระรูปนั้นกลับบ้านข่า ถึงแค่อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี แล้วท่านจึงเดินทางกลับมายังวัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานีอีก แต่สมัยนั้นวัดโพธิสมภรณ์ หรือแม้จังหวัดอุดรธานีก็ยังเป็นป่า ยังไม่ได้พัฒนาให้เจริญเหมือนทุกวันนี้
หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เมื่อได้เดินทางกลับมาถึงจังหวัดอุดรธานีคราวนี้ ท่านได้เปลี่ยนใจจากการไปศึกษาพระปริยัติธรรมที่กรุงเทพมหานคร เป็นการออกปฏิบัติธรรมกรรมฐานแทน
ท่านกล่าวว่า “การออกเดินธุดงค์ เป็นการเดินทางเส้นตรง...ต่อการบรรลุธรรมอย่างแท้จริง”
เมื่อได้เปลี่ยนใจเช่นนี้แล้ว ก็ได้เดินทางจากจังหวัดอุดรธานีมุ่งสู่จังหวัดหนองคาย ท่านได้แวะพักโปรดญาติโยมเป็นระยะๆ ไป และพักทำกรรมฐานที่พระบาทบัวบก อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี บำเพ็ญภาวนาอยู่หลายวัน จึงออกเดินทางไปยังฝั่งลาวพักกรรมฐานอยู่ที่บริเวณนครเวียงจันทร์เป็นเวลาหลายเดือน
หลวงปู่ตื้อเล่าให้ฟังว่า ได้ไปทำความเพียรอยู่บนภูเขาควาย ทำกรรมฐานอยู่บริเวณนั้นเป็นเวลา 4 เดือนเต็ม คืนแรกที่ท่านไปถึงนั้น ได้ไปนั่งภาวนาอยู่ที่ถ้ำเล็กๆ แห่งหนึ่งในบริเวณนั้น พอนั่งสมาธิอยู่ไม่นานประมาณชั่วโมงเศษๆ เห็นจะได้ ท่านได้ยินเสียงดังมาแต่ไกล คล้ายเสียงลมพัดอย่างแรง แต่พอลืมตาขึ้นดูไม่เห็นมีอะไร นอกจากตัวผึ้งเป็นหมื่นๆ ตัวบินวนเวียนอยู่เหนือศรีษะคล้ายเสียงเครื่องบิน สักพักหนึ่งตัวผึ้งเหล่านั้นก็บินลงมาเกาะตามผ้าจีวรเต็มไปหมด แล้วเที่ยวไต่ไปตามตัวจนท่านต้องเปลื้องจีวรและอังสะออกจากตัวและนุ่งสบงแบบจูงกระเบน แล้วรัดผ้ากับตัวให้แน่น ตามตัวมีแต่ตัวผึ้งเต็มไปหมด แต่มันก็มิได้ต่อยทำร้ายท่าน
หลวงปู่ตื้อบอกว่า ในภาวะเช่นนั้นต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างยิ่ง ประมาณ 20 นาทีหมู่ผึ้งเหล่านั้นทั้งหมดก็บินจากไป จากนั้นท่านก็นั่งภาวนาต่อไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมงเศษๆ
ในขณะนั้นเอง ได้นิมิตเห็นศีรษะของชายคนหนึ่งค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากพื้นข้างหน้าท่านห่างออกไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขากำลังเดินขึ้นมาจากเบื้องล่าง แล้วเดินเข้ามาหาท่าน จนเข้ามาใกล้แล้วมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้า โดยไม่พูดอะไร ร่างกายชายคนนั้นใหญ่โตมาก
บุคคลนั้นยืนอยู่นานพอสมควรแล้วหันหลังกลับเดินไป แต่การเดินกลับไปนั้นดูเหมือนว่าเดินลึกลงไปสู่ที่ต่ำเพราะหายลับลงไปอย่างรวดเร็วมาก จนมองตามไม่ทัน และท่านก็นั่งสมาธิอยู่ที่เดิม ไม่นานนักก็ได้ปรากฏว่ามีเทพยดาสวมมงกุฏสวยงามมากเข้ามาหาท่าน 2 องค์แล้วพูดขึ้นว่า
“ท่านอาจารย์ ห่างจากนี้ไม่ไกลนัก มีพระพุทธรูปทองคำ 10 องค์ พระพุทธรูปเงิน 15 องค์ จมอยู่ในดิน ขอให้ท่านอาจารย์ไปเอาขึ้นมา เพื่อให้คนทั้งหลายได้กราบไว้สักการบูชา เพราะบัดนี้ไม่มีใครรักษาแล้ว” พูดเท่านั้นเทพยดาทั้งสององค์ก็หายไป
หลวงปู่ตื้อ เล่าเรื่องต่อไปว่า คืนที่ไปนั่งภาวนาอยู่ที่เส้นทางช้างศึกของเจ้าอนุวงษ์ นครเวียงจันทน์หลายคืน คืนหนึ่งมีวิญญาณหลงทางมาหามากมายจริงๆ เหตุที่ว่าเป็นวิญญาณหลงทางนั้น เพราะจะแผ่เมตตาให้อย่างไร ก็ระลึกและคลายมานะทิฐิไม่ได้ ยังมัวเมาอยู่นั่นเอง
วิญญาณพวกนี้โดยมากเป็นพวกทหารหนุ่มๆ ทั้งนั้น สังเกตเห็นว่า พวกนี้จะไม่ยอมกราบไหว้ ไม่มีเคารพในสมณเพศ ทั้งนี้เพราะส่วนมากเป็นวิญญาณมิจฉาทิฐิมาปรากฏเพื่อให้เห็นเท่านั้น
รุ่งเช้า มีโยมมาขอให้ท่านพักอยู่ต่อไปนานๆ จะสร้างกุฏิถวาย แต่ท่านไม่รับนิมนต์ ท่านบอกโยมว่า จะต้องเดินธุดงค์ไปเรื่อยๆ จนถึงจังหวัดเชียงใหม่เมืองของไทยใหญ่ ท่านบอกว่านับตั้งแต่ออกจากพระบาทบัวบก จังหวัดอุดรธานี มาพักจำพรรษาอยู่ที่บริเวณเวียงจันทน์นี้ เป็นเวลานานถึง 4 เดือนเศษๆ จากนั้นก็เดินทางแบบพระธุดงค์กรรมฐานต่อไปยังเมืองหลวงพระบาง หนทางเดินลำบากที่สุด สภาพทั่วไปเป็นภูเขา บางวัดเดินขึ้นภูเขาสูงๆ แล้วเดินลงจากหลังเขา ถ้าคิดระยะทางการเดินทางธรรมดาจะต้องเดินไปไกลกว่านั้น เพราะเดินตลอดวันก็กลับลงมาที่เดิม ตกเย็นมืดค่ำลง ก็กางกลดพักผ่อนทำความเพียรภาวนา รุ่งอรุณก็ตื่นเดินทางต่อไป บางวันไม่ได้บิณฑบาตเลยเพราะไม่มีบ้านคน
เท่านเล่าว่า เดินไปด้วยกันคราวนี้รวมแล้ว 6 รูป แต่ต่างคนต่างไปไม่พบกันตั้งหลายวันก็มี บางทีก็พบพระซึ่งเป็นชาวพม่าซึ่งท่านก็เดินธุดงค์เช่นกัน นานๆ พบกันทีหนึ่ง พบกันแล้วก็แยกทางกันเดินต่อไป ท่านบอกว่าถนนหนทางลำบากที่สุด รถยนต์ไม่มีโอกาสจะไปได้เลย แม้แต่คนจะเดินไปก็ยังยาก และสมัยนั้นรถยังไม่เคยมีในถิ่นนั้นเลย และแล้วหลวงปู่ตื้อ ก็ได้พบพระธุดงค์รูปหนึ่งซึ่งจะเป็นสหธรรมิกรูปสำคัญต่อไปในอนาคต พระธุดงค์หนุ่มรูปนี้มีปฏิทาลีลาอะไรหลายอย่างละม้ายเหมือนหลวงปู่ตื้อมาก เป็นต้นว่า เป็นพระภิกษุหนุ่มฝ่ายมหานิกายที่ออกจาริกธุดงค์แต่ลำพังอย่างโดดเดี่ยวกล้าหาญ โดยไม่มีครูบาอาจารย์ฝ่ายกรรมฐานแนะนำคอยชี้ทางให้เลย
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
พระธุดงค์รูปนี้มีนามว่า หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม และหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ พบกันครั้งแรกที่ป่าภูพาน ขณะนั้นหลวงปู่ตื้อจาริกธุดงค์มาจากพระบาทบัวบก จังหวัดอุดรธานี ได้สนทนาธรรมแลกเปลี่ยนความรู้กันเป็นที่ชอบอัธยาศัยถูกใจกันยิ่งนัก
หลวงปู่ตื้อเองก็ใฝ่ใจปรารถนาอยากจะพบ พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ให้ได้เหมือนกัน เพราะได้ยินได้ฟังกิตติศัพท์เลื่องลือเกี่ยวกับพระอาจารย์มั่นมามาก แต่ก็ยังไม่ได้พบสมใจหวังสักที
ท่านทั้งสองได้ปรึกษาหารือกันว่า หากวาสนายังมีคงจะได้พบกับพระอาจารย์มั่นสมใจหวัง เราอย่าเร่งรัดตัวเองและกาลเวลาเลย ถ้าไม่ตายเสียก่อนจะต้องได้สดับธรรมจากพระอาจารย์มั่นเป็นแม่นมั่น ในระหว่างนี้เราควรจะจาริกธุดงค์ไปตามมรรคาของเราก่อน
ทั้งหลวงปู่ตื้อ และหลวงปู่แหวน เริ่มต้นเดินทางสู่เมืองลาวที่อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย พอข้ามแม่น้ำโขงแล้วก็พบแต่ป่าต้องเดินมุดป่าไปเรื่อยๆ ดูเหมือนเป้าหมายจะเป็นหลวงพระบาง ในการเดินทางเท้านั้น ตลอดทางมักได้พบสัตว์ป่าเป็นจำนวนมากและได้อาศัยเดินตามรอยช้าง เพราะสะดวกสบายดี ถ้าใครเคยขึ้นภูกระดึง และเคยมุดป่าบนหลังภู จะพบทางเดินของช้างบนนั้น
พระภิกษุหนุ่มทั้งสองท่านจะเดินธุดงค์ไปตลอดทั้งกลางวัน พอพลบค่ำก็เลือกพักใกล้หมู่บ้านคนพอได้โคจรบิณฑบาตยามเช้า ท่านได้เล่าถึงชาวป่าเผ่าหนึ่งพบระหว่างทางในตอนใกล้พระอาทิตย์ตกดิน ชาวป่าเหล่านั้นเอากระติบข้าวเหนียวมาถวาย เดินแถวเข้ามานับสิบเพื่อถวายอาหาร ด้วยพวกเขาไม่ทราบพระรับอาหารยามวิกาลไม่ได้ แต่มีศรัทธาบอกว่า “งอจ้าวเหนียวงอจ้าวเหนียว” ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร ทั้งสองท่านจึงบอกว่าอาหารไม่รับ ขอรับน้ำร้อนก็พอ ซึ่งก็ได้พยายามสื่อความหมายจนกระทั่งรู้เรื่องกันได้
พอรุ่งเช้าเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ต้องทำการบิณฑบาตแบบโบราณ คือ ไปยืนอยู่หน้าบ้านทำเป็นหวัดกระแอมไอ ให้เขาออกมาดู เขาไม่เข้าใจ ก็ทำนิ้วชี้ลงที่บาตร จึงได้ข้าวมาฉัน คนป่าเผ่านั้นคงจะไม่เคยรู้จักพระมาก่อน ไม่รู้วินัยพระ ไม่รู้ธรรมเนียมพระ
ต่อมาท่านได้ธุดงค์เดินทางไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีวัดประจำหมู่บ้าน แต่ไม่มีพระจำพรรษามีแต่เพียงสามเณรอยู่รูปเดียว สามเณรรูปนั้นเห็นพระอาคันตุกะสองรูปนั้นมาเยี่ยมก็ดีใจ หาที่นอนหาน้ำร้อนมาถวาย ถวายเสร็จแล้วสามเณรรูปนั้นก็หลบไป
อีกสักครู่หลวงปู่ตื้อกับหลวงปู่แหวนก็ได้ยินเสียงไก่ร้องกระโต้กกระต้าก แล้วก็เงียบเสียงลง อีกพักหนึ่งก็มีกลิ่นไก่ย่างโชยมา และอีกพักหนึ่งไก่ย่างก็ถูกนำมาวางตรงหน้าท่านทั้งสอง
“นิมนต์ท่านครูบาฉันไก่ก่อน ข้าวเหนียวก็กำลังร้อนๆ นิมนต์ครับ”
ในที่สุดหลวงปู่ทั้งสองก็เดินธุดงค์ถึงเหมืองหลวงพระบาง
แม้ว่าบางครั้งท่านจะแยกกันธุดงค์ แต่มีหลายครั้งที่ท่านมีโอกาสจำพรรษาร่วมกัน และเป็นคู่อรรถคู่ธรรมที่แปลกมาก กล่าวคือ เรื่องอุปนิสัยที่แตกต่างกัน หลวงปู่ตื้อท่านเป็นพระที่ชอบพูดชอบเทศน์ มีปฏิปทาผาดโผน และเวลาพูดเสียงท่านจะดัง แต่หลวงปู่แหวนกลับเป็นพระที่พูดน้อย เสียงเบา ไม่ชอบเทศน์ มีแต่ให้ข้อธรรมสั้นๆ มีปฏิปทาเรียบง่าย
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
๏ เหตุการณ์หลวงปู่แหวน กับ หลวงปู่ตื้อ
....น่าขนพองสยองเกล้า....
ในเช้าวันหนึ่ง หลวงปู่แหวน กับ หลวงปู่ตื้อ ได้อาศัยบิณฑบาตที่หมู่บ้านชาวป่า มี 4-5 หลังคาเรือน ชาวบ้านพากันมาใส่บาตรด้วยความดีใจ เพราะนานๆ จึงจะมีพระธุดงค์มาโปรดสักที
ชาวบ้านถามว่า พระคุณเจ้าทั้งสองจะไปไหน หลวงปู่บอกว่าจะมุ่งไปทางเทือกเขาที่มองเห็น แล้วจะลงไปทางสุวรรณเขต (อยู่ตรงข้ามกับมุกดาหาร) ชาวบ้านแสดงอาการตกใจ พร้อมทั้งทัดทานว่าอย่าไปทางโน้นเลย เพราะมียักษ์ปีศาจดุร้ายสิงอยู่ คอยทำร้ายคนและสัตว์ที่ผ่านไปทางนั้น
หลวงปู่ทั้งสอง กล่าวขอบใจในความหวังดี และบอกว่าท่านทั้งสองได้มอบกายถวายชีวิตให้พระศาสนาแล้ว ขออย่าได้ห่วงตัวท่านเลย แล้วท่านก็ออกเดินทางไปในทิศทางดังกล่าว
หลวงปู่ออกเดินทางโดยข้ามลำน้ำสองแห่ง แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ป่าแถบนั้นเงียบกริบ ไม่ได้ยินเสียงสัตว์ต่างๆ เลย แม้แต่นกก็ไม่มี ดูผิดประหลาดมาก
พอใกล้ค่ำหลวงปู่ทั้งสองก็มาถึงยอดเขาสูงที่มีลักษณะประหลาดมาก คือยอดเป็นสีดำคล้ายถูกไฟเผา รูปลักษณะดูตะปุ่มตะป่ำคล้ายหัวคนบ้าง หัวตะโหนกช้างบ้าง แปลกไปจากเขาลูกอื่นๆ
หลวงปู่ทั้งสอง เลือกปักกลดค้างคืนข้างลำธารที่มีน้ำใสไหลผ่านอยู่ที่เชิงเขาลูกนั้น ปักกลดห่างกันประมาณ 10 เมตร เมื่อสรงน้ำพอสดชื่นแล้วต่างองค์ก็นั่งสงบภายในกลดของตน ทั้งสององค์ตระหนักในความประหลาดของสถานที่นั้น ไม่ได้พูดอะไรกันเพียงแค่นั่งสงบอยู่ภายในกลด
ประมาณ 5 ทุ่ม หลวงปู่แหวนก็ออกจากกลดเตรียมจะเดินจงกรม
หลวงปู่ตื้อออกมาตาม และพูดว่า “ผมรู้สึกว่าที่นี่วิเวกผิดสังเกตนะ”
หลวงปู่แหวนตอบ “ผมก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน”
พูดกันแค่นี้แล้วต่างองค์ต่างก็เดินจงกรมในทางของตน ต่อจากนั้นไม่นานก็มีเสียงกรีดแหลมเยือกเย็นดังลงมาจากยอดเขารูปประหลาดนั้น เสียงนั้นแหลมลึกบีบเค้นประสาทจนรู้สึกเสียวลงไปถึงรากฟันทีเดียว
หลวงปู่ตื้อถามพอได้ยินว่า “ท่านแหวนได้ยินแล้วใช่ไหม”
หลวงปู่แหวนตอบด้วยเสียงเรียบๆ ว่า “ผมกำลังฟังอยู่”
เสียงกรีดร้องนั้นใกล้เข้ามาทุกที ฟังแล้วน่าขนพองสยองเกล้า ทั้งสององค์คงเดินจงกรมอยู่เงียบๆ ตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ป่านั้นเงียบสงัดจริงๆ เสียงนกเสียงแมลงก็ไม่มี ครั้นแล้วเกิดพายุปั่นป่วนมาอย่างกระทันหัน ชนิดไม่มีเค้ามาก่อนเลย ต้นไม้โยกไหวรุนแรงราวกับจะถอนรากออกมา อากาศพลันหนาวเย็นวิปริตขึ้นมาทันที พลันปรากฏร่างประหลาดขึ้นร่างหนึ่ง ตัวดำมะเมื่อม สูงราว 7 ศอก มีขนยาวรุงรังคล้ายลิงยักษ์ แต่หน้าคล้ายวัวควาย ตาโปน มือสองข้างยาวลากดิน มันก้าวเข้ามาอยู่ห่างจากหลวงปู่ทั้งสองประมาณ 10 เมตรเห็นจะได้
สัตว์ประหลาดนั้นส่งเสียงร้องโหยหวนขึ้น พลันพายุนั้นก็สงบลง แสดงว่ามันมีอำนาจเหนือธรรมชาติ สัตว์นั้นส่งกลิ่นเหม็นรุนแรงร้ายกาจเหมือนกลิ่นศพที่กำลังขึ้นอืด มันกระทืบเท้าสนั่นจนแผ่นดินสะเทือน
หลวงปู่แหวนเล่าในภายหลังว่า ท่านไม่รู้สึกกลัว แต่ขนลุกซู่ซ่าไปหมด เพราะไม่เคยเห็นสัตว์ประหลาดอย่างนั้นมาก่อน ยังไม่รู้ว่าเป็นปีศาจหรือสัตว์อะไรแน่ ท่านได้กำหนดสติไม่ให้ใจคอวอกแวก ทอดสายตาไปยังสัตว์ประหลาดนั้น กำหนดจิตแผ่เมตตาไปยังร่างนั้น สัตว์ร่างยักษ์นั้นหยุดร้อง หยุดส่งกลิ่นเหม็น แสดงว่ารับกระแสเมตตาได้ มันค่อยๆ ทรุดร่างลงนั่งยองๆ เอามือยันพื้นไว้ ทำท่าแสดงความนอบน้อมต่อท่าน
หลวงปู่ตื้อพูดพอได้ยินว่า “ท่านแหวนทำดีมาก” พร้อมทั้งเดินมาสมทบ แล้วพูดว่า “เขาแบกหามบาปหาบทุกข์อันมหันต์ เขามาหาเรา เพื่อให้ช่วยปลดทุกข์ให้เขานะ เขาสร้างกรรมไว้มาก เมื่อตายจากมนุษย์แล้วต้องมาเป็นปีศาจอสุรกาย ทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่”
หลวงปู่แหวนได้กำหนดจิตถามดู ก็ได้ความว่า สมัยเป็นมนุษย์เขามีการกระทำที่มากล้นด้วยตัณหา และความโลภ คือ ละเมิดศีลข้อ 2 และข้อ 3 อยู่เสมอ จึงต้องมาเป็นปีศาจอสุรกาย รับทุกข์อยู่ที่นั่นมากว่าร้อยปีแล้ว
ปีศาจอสุรกายนั้นดูท่าทางอ่อนลงมาก มันร้องไห้คร่ำครวญน่าสงสาร ขอความเมตตาจากพระคุณเจ้าทั้งสองให้เขาได้พ้นทุกข์ทรมานนั้นด้วยเถิด
หลวงปู่แหวนได้พิจารณาเห็นว่า เขาสร้างกรรมซับซ้อนเหลือเกินใครจะช่วยเขาได้ พลันหลวงปู่ตื้อตอบมาในสมาธิว่า “กรรมเป็นเรื่องสลับซับซ้อนลึกซึ้งอยู่ก็จริง บางทีพระผู้มีศีลบริสุทธิ์และมีบารมีเช่นท่านแหวน ก็อาจจะช่วยให้เขาพ้นทุกข์ได้ ลองอ่านพระคาถาหรือเทศนาธรรมให้เขาฟังดูสิ”
หลวงปู่แหวนได้กำหนดจิตว่าพระคาถา แล้วเทศนาให้เขาสำนึกบาปบุญคุณโทษ เขาค่อยๆ คลายความกังวลลง ก้มลงกราบด้วยความซาบซึ้ง
“พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าได้กำหนดจิตพิจารณาตามกระแสธรรมของท่านแล้ว เกิดแสงสว่างกับข้าพเจ้าอย่างมหัศจรรย์ และข้าพเจ้าได้เห็นสภาวธรรม คือ ชาติ ชรา มรณะ อันเป็นทุกข์เป็นธรรมดาของสรรพสัตว์ทั้งหลายแล้วพระคุณเจ้า”
สีหน้าเขาดูสดชื่นขึ้น ก้มลงกราบหลวงปู่ทั้งสององค์ แล้วร่างนั้นก็หายไป
หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม
๏ ธรรมโอวาท
สำหรับการแสดงธรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนาของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโมนั้น ท่านแสดงธรรมอย่างตรงไปตรงมา แสดงธรรมตามทัศนะของท่าน มีคนชอบฟังมาก หลวงปู่เล่าว่า โลกนี้เขามีเครื่องผูกอันเหนียวแน่น ยากที่จะตัดได้ด้วยอย่างอื่น นอกจากพระธรรมของพระพุทธเจ้า มนุษย์เราเกิดมาก็ต้องทำบาป เมื่อทำแล้วก็ต้องได้รับผลกรรมที่เราทำไว้ พ่อแม่เรานั้นทำกรรม เราเกิดมาก็ทำกรรมไปอะไรที่สุดของกรรม ไม่มีใครรู้ได้ทำบาปแล้วมีตัวอย่างให้เห็นมากมาย
1. จิตตานุปัสสนา จิตไม่ฆ่าสัตว์ จิตก็เป็นโสดาปัตติมรรค จิตก็เป็นโสดาปัตติผล
2. จิตตานุปัสสนา จิตไม่ลักทรัพย์ จิตก็เป็นพระสกิทาคามิมรรค จิตก็เป็นพระสกิทาคามิผล
3. จิตตานุปัสสนา จิตไม่คิดมีผัวเมีย ออกบวช จิตก็เป็นพระอนาคามิมรรค จิตก็เป็นพระอนาคามิผล
4. จิตตานุปัสสนา จิตไม่กล่าวมุสาวาท จิตก็เป็นพระอรหัตมรรค จิตก็เป็นพระอรหัตผลอีกนัยหนึ่ง
1. จิตไม่ฆ่าสัตว์ จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่หัวใจของเราทุกคน
2. จิตไม่ลักทรัพย์ จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่หัวใจของเราทุกคน
3. จิตออกบวช จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่หัวใจของเราทุกคน
4. จิตไม่ขี้ปด จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่หัวใจของเราทุกคน
หลวงปู่สอนว่า “ธรรมะคือคำสอนของพระพุทธเจ้า พวกเรามองข้ามไปเสียหมด อยู่ที่ตัวของเรานี้เองมิใช้อื่น พุทธะคือผู้รู้ ก็ตัวของเรานี้ เองมิใช้ใครอื่น เช่นเดียวกันกับไข่ ไข่อยู่ข้างในของเปลือกไข่ ทำให้เปลือกไข่แตกเราก็ได้ไข่ พิจารณาร่างกายของเราให้แตก แล้วเราก็จะได้ธรรมะ” หรือ
“ธรรมะจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการทำอะไรจริงจัง คือการตัดสินใจอย่างแน่นอนลงไป แล้วเลือกเฟ้นธรรมปฏิบัติอย่างแท้จริง ไม่นานหรอกเราก็จะได้พบสิ่งที่เราต้องการ ความกลัวทุกอย่างจะหายไปหมด
ถ้าเราตัดสินใจอย่างใดแล้วคือเราต้องเป็นคนมีจุดมุ่งหมายอย่างหลวงตา นับตั้งแต่บวชมาได้ตัดสินใจปฏิบัติธรรมะอย่างจริงจัง จนทุกวันนี้ไม่เคยลดละและท้อถอยเลย” หรือ
“นักธรรม นักกรรมฐาน ต้องมีนิสัยอย่างเสือโคร่ง คือ
1. น้ำจิตน้ำใจต้องแข็งแกร่งกล้าหาญไม่กลัวต่ออันตรายใดๆ
2. ต้องเที่ยวไปในกลางคืนได้
3. ชอบอยู่ในที่สงัดจากคน
4. ทำอะไรลงไปแล้วต้องมุ่งความสำเร็จเป็นจุดหมาย” หรือ
“สัตว์เดรัจฉานมันดีกว่าคนตรงที่มันไม่มีมายา ไม่หลอกลวงใคร มีครูอาจารย์ก็คือคนเป็นสัตว์ที่น่ารักน่าสงสาร คนเราซิโง่เป็นพุทธะได้ แต่หลอกลวงตนเองว่าเป็นไปไม่ได้ ร่างกายก็มีให้พิจารณาว่าเป็นของเน่าเป็นของเหม็น แต่เราพิจารณาว่าเป็นของหอมน่ารัก โง่ไหมคนเรา”
และเมื่อเทศน์จบลงท่านชอบถามผู้ฟังว่า “ฟังเทศน์หลวงตาดีไหม” คำถามเช่นนี้ ท่านบอกว่า หมายถึงการฟังธรรมครั้งนี้ได้รับความสงบเย็นของจิตไหม และเกิดสังเวชในความชั่วไหม ?
ท่านชอบตักเตือนเสมอว่าการปฏิบัติธรรมนั้นอย่างที่ท่านบูรพาจารย์ทั้งหลายดำเนินมานั้น ท่านพยายามไม่ให้เกิดความเบื่อหน่ายในการปฏิบัติธรรม พยายามให้เกิดความสนใจในธรรมปฏิบัติอยู่เสมอ การที่เราเกิดความเบื่อหน่ายในธรรมปฏิบัตินี้เป็นการที่เราจะดำเนินไปไม่ได้นาน และจะเป็นอันตรายต่อการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างมาก แต่เกิดความสังเวชในธรรมบางอย่างนั้นเป็นการดี เพราะจะเป็นประโยชน์แก่เราผู้ปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง แต่ถ้าเบื่อหน่ายในความชั่วไม่เป็นไร เพราะถ้าเบื่อหน่ายในความชั่วแล้วก็เร่งพยายามทำความดีต่อไป
หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม
๏ ปัจฉิมบท
ในปี พ.ศ.2517 นับเป็นปีที่ 4 ที่หลวงปู่ตื้อ อจลธนฺโม ได้อยู่จำพรรษาที่วัดอรัญญวิเวก บ้านเช่า แดนมาตุภูมิของท่าน ในพรรษานี้ใครเลยจะนึกว่า ท่านจะจากพวกเราไปอย่างไม่มีวันกลับ ก่อนเข้าพรรษาท่านเคยพูดเสมอว่า
“ใครต้องการอะไรก็ให้เร่งรีบสร้างเอา คุณงามความดีทั้งหมดอยู่ที่ตัวของเราแล้ว ขันธ์ 5 นี้ เมื่อมันยังไม่แตกดับก็อาศัยมัน แตกดับแล้วก็อาศัยอะไรมันไม่ได้ ขันธ์ 5 ของหลวงตาก็จะดับแล้วเหมือนกัน”
และบ่อยครั้งที่ท่านพูดว่า “ธาตุลมของหลวงตาได้วิบัติแล้ว บางครั้งมันเข้าไปแล้วก็ไม่ออกมา นานที่สุดจึงออกมา และเมื่อมันออกมาแล้วก็ไม่อยากจะเข้าไป”
เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2517 ก่อนเข้าพรรษา คณะศิษยานุศิษย์ได้ไปกราบถวายความเคารพและถวายเครื่องสักการะเพื่อขอคารวะต่อท่าน ท่านก็ยังแข็งแรงดี ลุกขึ้นนั่ง และก็แสดงธรรมให้ฟังตามสมควร นับว่าเป็นการฟังเทศน์ของท่านเป็นกัณฑ์สุดท้าย กัณฑ์นี้ดูเหมือนท่านจะจงใจแสดงให้ฟังโดยเฉพาะ เมื่อจบท่านบอกว่า กัณฑ์เทศน์กัณฑ์นี้เป็นกัณฑ์สุดท้าย และเป็นหัวใจกรรมฐานของนักบวช
ท่านได้กล่าวทำนองว่า “วันนี้จงฟังเทศน์ให้ดีๆ และจำเอาไว้เพราะต่อไปจะหาฟังได้ยาก ในโลกนี้ไม่มีใครจะแสดงธรรมได้เหมือนหลวงตาหรอก”
ท่านแสดงธรรมแต่ละครั้งนั้นนานมาก ท่านได้สงเคราะห์ทั้งวัตถุธรรมและนามธรรม ท่านได้ให้อะไรสารพัดอย่าง บางครั้งท่านได้หยุดในระหว่างเทศน์ เมื่อเทศน์จบลงแล้วท่านบอกว่า
“ขันธ์ 5 จะดับแล้ว ธาตุลมวิบัติแล้ว” จึงได้กราบเรียนถามท่านว่า “ท่านหลวงตาไม่เหนื่อยหรือ ?”
ท่านบอกว่า “ขันธ์ 5 จะได้หยุดการแสดงธรรมเหมือนกัน แต่ถ้าจิตไม่หยุดมันก็หยุดไม่ได้ การแสดงธรรมเป็นหน้าที่ของเรา เกิดมาก็เพื่อทำประโยชน์ทั้งนั้น ได้ความดีแล้วก็ต้องทำความดีเพื่อความดีอีก คนเกิดมารู้จัก พุทโธ ธัมโม สังโฆ จึงจะเป็นคน ไม่ใช่สัตว์ เราต้องรู้จักพระธรรมให้ดีที่สุด” จึงจะเรียกได้ว่า พระมหาเปรียญ พระนักธรรม พระกรรมฐาน
เช้าวันที่ 19 กรกฎาคม 2517 ท่านฉันเช้าตามปกติแต่ก็ไม่มากนัก สังเกตดูอาการท่านเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียมากทีเดียว นับแต่เวลาเช้าไปท่านพักผ่อนเล็กน้อย แสดงธรรมตลอดแต่พูดเบามาก
ขณะที่ท่านกำลังเทศน์อยู่นั้น มีพระภิกษุสามเณรจากต่างจังหวัด มาถวายสักการะและรับฟังโอวาท ท่านให้ลูกศิษย์ช่วยพยุงลุกขึ้นนั่ง เมื่อลุกขึ้นนั่งแล้ว ท่านพูดว่า “สังขารไม่เที่ยง หลวงตาเกิดมาก่อน ก็ต้องไปก่อนตามธรรมดา” ท่านเทศน์ประมาณ 15 นาที คณะสงฆ์นั้นก็ลากลับไป
ขณะนั้นเวลาประมาณ 16 นาฬิกา ท่านเหนื่อยมากที่สุด พูดเบามาก ท่านบอกว่า “ลมวิปริตแล้ว ไม่มีแล้ว”
จากนั้นท่านได้ให้พรลูกศิษย์ว่า
“พุทฺโธ สุโข ธมฺโม สุโข สงฺโฆ สุโข จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ”
แล้วท่านก็หัวเราะและยิ้มให้ลูกศิษย์ อันเป็นลักษณะเดิมของท่าน แสดงว่าท่านมีอารมณ์ดีไม่สะทกสะท้านต่ออาการที่เกิดขึ้น ในขณะนั้นมีท่านอาจารย์อุ่น ท่านอาจารย์วาน และพระภิกษุสามเณรหลายสิบรูปเฝ้าดูอาการของท่านด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แม้ท่านจะเหนื่อยมากสักปานใดก็ตาม แต่ท่านก็ยังพูดอยู่เรื่อยๆ ถึงเสียงจะเบา แต่ก็พอฟังรู้เรื่องว่าท่านพูดอะไร
วาระสุดท้ายท่านพูดว่า “ธาตุในหลวงตาวิปริตแล้ว”
จากนั้นท่านไม่พูดอะไรอีกเลย กิริยาอาการทุกอย่างสงบเงียบทุกคนแน่ใจว่า หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ได้ถึงมรณภาพแล้ว เวลา 19 นาฬิกาเศษ ท่ามกลางสานุศิษย์ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ด้วยความอาลัยยิ่ง แต่เชื่อมั่นเหลือเกินว่าท่านได้ไปถึงสันติสุขที่สุดแล้ว สิริรวมอายุได้ 86 ปี
หลวงปู่หลวง กตปุญโญ-หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม-หลวงปู่แว่น ธนปาโล
.............................................................
คัดลอกมาจาก ::
- หนังสือแก้วมณีอีสาน
: รอยชีพรอยธรรมพระวิปัสนาจารย์อีสาน
- หนังสือ “หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ”
วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
(โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม 3)