พระประวัติและปฏิปทา
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)
พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๓๓๗
วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร
แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร
พระประวัติในเบื้องต้น
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)สมเด็จพระสังฆราชพระ
องค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีพระนามเดิมว่า “ศรี” (บางตำราเขียนว่า “สี”)
พระประวัติในเบื้องต้นมีความเป็นมาอย่างไรไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดทราบ
แต่เพียงว่า เดิมเป็นเพียงพระอาจารย์ศรี ทรงผนวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัด
พนัญเชิง อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่
พม่าในแผ่นดิน พระเจ้าเอกทัศน์พระสงฆ์ถูกฆ่า วั ดวาอาราม พระไตรปิฎก
ถูกเผาทำลายวอดวายจนสิ้นเชิงพระภิกษุสามเณรต่างก็พากันหลบภัยไปอยู่
ตามวัดต่างๆ ในต่างจังหวัดพระอาจารย์ศรีก็ได้หลบภัยสงครามไปจำพรรษา
อยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในเมืองนครศรีธรรมราช ที่ซึ่งพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง
มาโดยตลอด
ครั้นต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๑๒ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงยกทัพไป
ปราบก๊กเจ้านครซึ่งตั้งตัวเป็นใหญ่ ที่เมืองนครศรีธรรมราชจึงได้อาราธนา
พระอาจารย์ศรี ขึ้นมาจำพรรษาอยู่ ณ วั ดบางหว้าใหญ่(ปัจจุบันคือ
วัดระฆังโฆสิตาราม) เนื่องด้วยทรง คุ้นเคยและรู้จักเกียรติคุณของพระ
อาจารย์ศรี มาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาในขณะนั้น พระอาจารย์ดี ทรง
ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชอยู่ก่อนแต่ต่อมาภายหลัง สมเด็จพระเจ้า
ตากสินมหาราชทรงทราบว่าพระอาจารย์ดีเคยบอกที่ซ่อนทรัพย์ของผู้อื่น
ให้แก่พม่าเมื่อเวลาถูกขังอยู่ จึงโปรดให้ถอดออกจากตำแหน่งสมเด็จพระ
สังฆราชแล้วได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา พระอาจารย์ศรีขึ้น
เป็น สมเด็จพระสังฆราช แทน ในพ.ศ. ๒๓๑๒ นั้นเองนับเป็นสมเด็จพระสังฆ
ราชพระองค์ที่ ๒ แห่งกรุงธนบุรี
ทรงถูกถอดจากตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
ครั้นถึง พ.ศ. ๒๓๒๔ อันเป็นปีสุดท้ายแห่งรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ได้ถูกถอดจากตำแหน่งเนื่องจากได้ถวายวิสัชนา
ร่วมกับ พระพุฒาจารย์ วัดบางหว้าน้อย (วัดอมรินทราราม) และพระพิมลธรรม
วัดโพธาราม (วัดพระเชตุพนหรือวัดโพธิ์) เรื่องพระสงฆ์ปุถุชนไม่ควรไหว้คฤหัสถ์
ที่เป็นอริยบุคคลเนื่องจากคฤหัสถ์เป็นหินเพศต่ำ พระสงฆ์เป็นอุดมเพศที่
สูงเพราะทรงผ้ากาสาวพัสตร์และพระจาตุปาริสุทธิศีลอันประเสริฐ ดังความว่า
“ถึงมาตรว่าคฤหัสถ์เป็นพระโสดาก็ดี แต่เป็นหินเพศต่ำอันพระสงฆ์ ถึงเป็น
ปุถุชน ก็ตั้งอยู่ในอุดมเพศอันสูงเหตุทรงผ้ากาสาวพัสตร์ และพระจตุปาริสุทธิ
ศีลอันประเสริฐซึ่งจะไหว้นบคฤหัสถ์ อันเป็นพระโสดานั้นก็บ่มิควร”
ข้อวิสัชนาดังกล่าวนี้ไม่ต้องพระทัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีพระองค์จึงให้
ถอดเสียจากตำแหน่งพระสังฆราชลงมาเป็นพระอนุจร (พระธรรมดา)แล้วทรง
ตั้งพระโพธิวงศ์ เป็นสมเด็จพระสังฆราชและตั้งพระพุทธโฆษาจารย์
เป็นพระวันรัตเหตุการณ์ครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) และ
พระราชาคณะทั้งสองรูปดังกล่าว เป็นพระเถระที่เคร่งครัดมั่นคงในพระธรรม
วินัยแม้จะต้องเผชิญกับราชภัยอันใหญ่หลวงก็มิได้หวั่นไหวนับเป็นพระ
เกียรติคุณที่สำคัญประการหนึ่งของสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นั้น
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑
ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชครั้งที่ ๒
ครั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงปราบดาภิเษกและ
สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้คืนสมณฐานันดรศักดิ์และตำแหน่งดังเดิมให้แก่สมเด็จพระอริยวงษญาณ
สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ดังมีรายละเอียดบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดาร
ดังนี้
“ทรงพระราชดำริว่า ฝ่ายข้างอาณาจักรได้แต่งตั้งข้าราชการตามตำแหน่ง
เสร็จแล้วควรจะจัดการข้างฝ่ายพุทธจักร ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาซึ่งเสื่อม
ทรุดเศร้าหมองนั้นให้วัฒนารุ่งเรืองสืบไปจึงดำรัสให้สึกพระวันรัต (ทองอยู่)
กับพระรัตนมุนี(แก้ว) ออกเป็นฆราวาสดำรัสว่าเป็นคนอาสัตย์สอพลอทำให้เสีย
แผ่นดิน.....ดำรัสให้สมเด็จพระสังฆราช พระพุฒาจารย์ และพระพิมลธรรม ซึ่ง
เจ้ากรุงธนบุรีให้ลงโทษถอดเสียจากพระราชาคณะ เพราะไม่ยอมถวายบังคม
นั้นโปรดให้คงที่สมณฐานันดรศักดิ์ดังเก่า ให้คืนไปอยู่ครองพระอารามตามเดิม
และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกรมพระราชวังบวรสถานมงคลรัสสรร
เสริญว่า พระผู้เป็นเจ้าทั้งสามพระองค์นี้ มีสันดานสัตย์ซื่อมั่นคงดำรงรักษาพระ
พุทธศาสนาโดยแท้ มิได้อาลัยแก่ร่างกายและชีวิตควรเป็นที่นับถือไหว้นบเคารพ
สักการบูชา แม้มีข้อสงสัยสิ่งใดในพระบาลีไปภายหน้าจะให้ประชุมพระราชา
คณะไต่ถาม ถ้าพระผู้เป็นเจ้าทั้งสามว่าอย่างไรแล้วพระราชาคณะอื่นๆ จะว่า
อย่างอื่นไป ก็คงจะเชื่อถ้อยคำพระผู้เป็นเจ้าทั้งสามซึ่งจะเชื่อถือฟังความตาม
พระราชาคณะอื่นๆที่เป็นพวกมากนั้นหามิได้ ด้วยเห็นใจเสียครั้งนี้แล้ว”
ความในพระราชดำรัสดังปรากฏในพระราชพงศาวดารข้างต้นนี้ย่อมเป็นที่ประ
จักษ์ว่า สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) เป็นที่ทรงเคารพนับถือของพระบาทสมเด็จพระ
พุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและสมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นอัน
มากทั้งเป็นที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยในการที่จะฟื้นฟูทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
ให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป เป็นปัจจัยประการหนึ่งที่ทำให้ทรงพระราชดำริในอันที่จะ
ทำสังคายนาพระธรรมวินัยให้บริสุทธิ์บริบูรณ์เพื่อเป็นหลักของพระพุทธศาสนา
ในพระราชอาณาจักร ยั่งยืนสืบไปชั่วกาลนานและโดยที่เป็น
ที่ทรงเคารพนับถือและเป็นที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยดังกล่าวแล้ว
จึงกล่าวได้ว่า สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) คงจักทรงเป็นกำลังสำคัญในการชำระ
และฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในครั้งรัชกาลที่ ๑ เป็นอย่างมากทั้งในด้านความประ
พฤติปฏิบัติของพระภิกษุสามเณรการบูรณปฏิสังขรณ์พุทธสถาน การชำระ
ตรวจสอบพระไตรปิฎกให้ถูกถ้วนบริ-บูรณ์ตลอดถึงในด้านความประพฤติปฏิบัติ
ในทางที่ถูกที่ควรของพุทธศาสนิกชนทั่วไปดังจะเห็นได้ว่าในระหว่างที่ สมเด็จ
พระสังฆราช (ศรี) ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชนั้นได้ทรงมีพระราชปุจฉา
เกี่ยวกับการพระศาสนาด้านต่างๆไปยังสมเด็จพระสังฆราชมากกว่า ๕๐ เรื่อง
สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) พร้อมด้วยพระสงฆ์ราชาคณะก็ได้ถวายพระพรแก้พระ
ราชปุจฉา เป็นที่ต้องตามพระราชประสงค์ทุกประการ
สิ่งแสดงถึงพระราชศรัทธาเคารพนับถือในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา
โลกมหาราชที่ทรงมีต่อสมเด็จพระสังฆราช (ศรี) อีกประการหนึ่งก็คือเมื่อทรงตั้ง
เป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้วได้โปรดเกล้าฯให้รื้อตำหนักทองของสมเด็จพระเจ้า
กรุงธนบุรีไปปลูกเป็นกุฎีถวาย ณ วัดบางว้าใหญ่แต่น่าเสียดายที่ตำหนักทองนี้ถูก
ไฟไหม้เสียเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๓